ในเวลาบ่ายของวันหยุด เด็กหนุ่มนอนเอนกายอยู่บนเตียงภายในห้องของตัวเอง ครุ่นคิดถึงเพื่อนๆของเค้าที่ต่างก็ออกไปเที่ยวกับแฟนสาว มีแค่ตัวของเค้าเท่านั้นที่อยู่บ้านเพียงคนเดียว เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ เด็กหนุ่มรู้สึกถึงความเหงาที่เข้ามาครอบงำ จนในที่สุดเค้าก็บอกกับตัวเองว่า “อา....ทำไมเราถึงต้องมานอนเศร้าอยู่คนเดียวด้วย เอาล่ะ เราต้องการที่จะมีแฟน ดังนั้นมันถึงเวลาแล้วที่จะต้องออกไปหาสาวๆ” ไวเท่าความคิด เด็กหนุ่มรีบจัดแจงเปลี่ยนชุด แต่งตัวอย่างรีบเร่ง และในเวลาไม่นานเค้าก็พร้อมสำหรับการผจญภัยค้นหาหญิงสาวของตัวเอง
เด็กหนุ่มออกเดินทางไปในที่ๆวัยรุ่นมักจะไปพบปะสังสรรค์กัน ใช่แล้ว ที่นี่คือที่ๆดีที่สุดที่เค้าจะมีโอกาสได้พบกับสาวสวยมากมาย เค้ารู้สึกตื่นเต้นมากเพราะนี่คือครั้งแรกที่เค้าตั้งใจออกมาจีบผู้หญิงโดยลำพัง
เด็กหนุ่มค่อยๆหยิบตำราจีบสาวที่ได้จากดอนฮวน เค้าเริ่มทบทวนบทเรียนที่ได้มาจากดอนฮวน
“บทเรียนที่1 ความสำเร็จมาจากความเชื่อ (The height of your accomplishment equals the deep of your conviction)
บทเรียนที่ 2 ที่ใดไม่มีความเคารพ ที่นั่นไม่มีความรัก (No respect No love)”
เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนกับในทุกๆครั้งที่เค้าได้เปิดตำราจีบสาว “เอาล่ะ ถึงแม้ว่าในตอนนี้ในตำราจะมีแค่ 2 บท แต่วันนี้เราจะต้องออกไปหาสาวๆและเรียนรู้สุดยอดวิธีจีบสาวเพิ่มเติมให้ได้” เด็กหนุ่มพูดกับตัวเอง
ในที่สุดเค้าก็มาถึงจุดหมาย เด็กหนุ่มเดินไปเรื่อยๆ สายตาก็มองหาสาวสวยที่ถูกใจ และในเวลาอันรวดเร็วหญิงสาวน่ารักคนนึงก็เดินผ่านมา เธอมีรูปร่างที่สมส่วน พร้อมกับใบหน้าที่งามเหมือนนางฟ้า เธอกำลังเดินดูเสื้อผ้าตามประสาของผู้หญิง “โอ้โห!!! เธอต้องเป็นนางฟ้าแน่ๆ ทำไมนางฟ้ามาเดินบนโลกมนุษย์เนี่ย เราควรที่จะเข้าไปคุยกับเธอ เราต้องรู้จักเธอให้ได้!” เด็กหนุ่มคิดในใจ
ทว่าการที่คิดถึงภาพเข้าไปพูดคุยกับสาวสวยนางฟ้าคนนี้ ทำให้เค้ารู้สึกหวาดกลัว เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด เค้าได้แต่ยืนมองสาวน้อยเดินไปๆๆ ไกลขึ้นเรื่อยๆๆๆๆ พร้อมๆกับความรู้สึกสับสนที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ จนในที่สุดเธอก็เดินหายลับไป
“อา..อีกแล้ว เป็นอย่างนี้อีกแล้ว ไม่ๆๆๆๆๆ เรากลัวอะไรกันเนี่ย ทำไมเราไม่กล้าเข้าไปคุยกับเธอ”
เค้ารู้ดีว่าเค้าควรจะเข้าไปคุยกับสาวน้อย แต่ความกลัวบางอย่างได้มาหยุดการกระทำเอาไว้
เด็กหนุ่มเดินต่อไปอย่างหัวเสีย และในไม่ช้าก็พบกับสาวสวยอีกคนนึง เช่นเดิมสาวน้อยคนนี้เธอก็สวยบาดตาบาดใจ ใกล้เคียงกับสาวน้อยคนแรก “อุแม่เจ้า!!! สวยสุดๆ เธอต้องไม่ใช่มนุษย์โลกแน่ๆ ต้องเข้าไปทักทายเธอซะหน่อยแล้ว” แต่ร่างกายของเด็กหนุ่มกลับไม่ปฎิบัติตาม เค้ายังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ เด็กหนุ่มยังคงได้แต่ยืนมองให้สาวสวยเดินจากไปอีกเช่นเดิม ความรู้สึกร้อนรนภายในใจก็ได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าด้วย
เด็กหนุ่มรู้ว่าถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ชาตินี้เค้าก็จะไม่มีทางมีแฟนเหมือนคนอื่นๆแน่ เค้ารู้ดีว่าต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติในตัวเค้าอย่างแน่นอน
และแล้วเค้าก็พบสาวสวยคนต่อไป เธอคนนี้ยิ่งสวยกว่าทุกคนที่เด็กหนุ่มเจอมา เสื้อสายเดี่ยวเอวลอยที่เผยให้เห็นหน้าท้องที่แบนราบ กางเกงยีนส์เอวต่ำรับกับสะโพกที่กลมกลึง และใบหน้าที่ใสไร้ริ้วรอย “โอววว แม่เจ้าโว้ยยยย นี่มันสิ่งมีชีวิตประเภทไหนกันนี่ เพอร์เฟ็กต์ที่สุด!!!” คราวนี้เด็กหนุ่มบอกกับตัวเองว่าต้องไม่พลาด เค้ารวบรวมความกล้ามากเท่าที่จะมากได้ แล้วเริ่มเดินเข้าไปหาหญิงสาว ใกล้เข้าไปๆๆๆๆๆๆ ทันใดนั้นหญิงสาวก็ได้หันมาสบตากับเค้าอย่างพอดี!!! เค้าตกใจและรีบก้มหน้าหลบพร้อมกับเดินไปทางอื่น
เด็กหนุ่มไม่กล้าคุยกับสาวสวยอีกเช่นเดิม เค้าถูกต้องคำสาปด้วยความกลัว!!!
เด็กหนุ่มเดินกลับบ้านอย่างผิดหวังที่สุด เพราะในวันนี้มีผู้หญิงสวยเป็นร้อยคนที่ได้พบ แต่เค้าไม่มีความกล้าพอที่จะเข้าไปคุยกับพวกเธอแม้แต่คนเดียว “เรามันขี้ขลาด แค่คุยกับผู้หญิงก็ยังไม่กล้า ทำไมต้องกลัวด้วย นี่เราเป็นอะไรไปเนี่ย!!!”
ไม่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เด็กหนุ่มตะโกนออกมา
และทันใดนั้นเองดอนฮวนก็ปรากฏตัวขึ้น มา
“เจ้าหนุ่มน้อย ปัญหาที่แท้จริงของเจ้าในตอนนี้ไม่ใช่ว่าเจ้ากลัวการพูดคุยกับผู้หญิงหรอก แต่สิ่งที่เจ้ากลัวจริงๆก็คือเจ้ากลัวการถูกปฎิเสธ” ดอนฮวนพูด
“กลัวการถูกปฎิเสธ อย่างนั้นหรือครับ”
“ใช่ เจ้าคิดว่าหากเจ้าเข้าไปหาสาวสวย สบตา เริ่มการพูดคุย แล้วพวกเธอไม่ตอบสนองในแบบที่เจ้าต้องการ ไม่ยอมคุยกับเจ้า หรือปฎิเสธเจ้าในทางใดทางหนึ่ง เจ้าคิดว่าเจ้าจะต้องเจ็บปวดมาก และเพื่อที่จะเลี่ยงความเจ็บปวดนั้น เจ้าเลยเลี่ยงที่จะพูดคุยกับผู้หญิง เจ้าต้องการที่จะเล่นเกมจีบสาวอย่างปลอดภัยเพื่อที่จะได้ไม่ต้องรู้สึกว่าตัวเองถูกปฎิเสธ แต่ว่าหนทางที่เจ้าเลือกก็ไม่ได้ทำให้เจ้าหายจากการเจ็บปวดไปได้ ตรงกันข้ามการที่ปล่อยให้สาวคนที่เจ้าชอบเดินจากไปโดยที่ไม่ทำอะไรเลย กลับทำให้เจ้าเจ็บปวดมากกว่าเดิมเป็นสิบเท่า”
“ต..ต.แต่ว่า ผมไม่กล้าจริงๆนี่ครับ ผมเป็นอย่างนี้มาโดยตลอด” เด็กหนุ่มพูดอย่างเศร้าสร้อย
โป้ก!!! ดอนฮวนตบหัวเด็กหนุ่มก่อนที่จะพูดว่า “มานี่ๆ ตามมา ข้าจะพาเจ้าไปดูอะไรบางอย่าง”
ดอนฮวนพาเด็กหนุ่มมาพบกับผู้ชายคนนึงที่กลัวการถูกปฎิเสธ
“ผู้ชายคนนี้เหมือนกับเจ้าทุกอย่าง เค้าต้องการจะอยู่อย่างปลอดภัย ไม่ต้องการที่จะถูกปฎิเสธ
โอวววว ไม่ ไม่ได้อย่างแน่นอนเพราะเค้าไม่อยากจะถูกทำร้ายจิตใจ ผู้ชายคนนี้ถึงแม้จะหน้าตาดีแต่เค้าจะไม่มีทางเริ่มต้นพูดคุยกับสาวๆก่อนแม้แต่คนเดียว เค้ากลัวการถูกปฎิเสธ!!!”
ผู้ชายรอ รอ แล้วก็รออยู่ช่วงเวลาหนึ่ง หวังว่าจะมีสาวๆเข้ามาหาเค้าก่อน จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีสาวคนไหนเข้ามา เค้าเริ่มอึดอัด แต่ด้วยความที่มีเพื่อนเยอะ เค้าเลยยังมีโชคอยู่บ้าง เพื่อนผู้หญิงได้แนะนำให้เค้ารู้จักกับสาวคนหนึ่ง “วู้ฮู้ ดีจริงๆ ไม่ต้องเสี่ยงต่อการโดนปฎิเสธ แถมยังได้สาวๆอีกด้วย ในที่สุดก็มีแฟนซะที” ชายหนุ่มดีใจที่สุด
“ทุกอย่างเหมือนกำลังไปได้ด้วยดี แต่เราลองมาดูกันสิว่า ชีวิตของผู้ชายที่ไม่ต้องการโดนปฎิเสธจะเป็นยังไงต่อไป” ดอนฮวนบอกเด็กหนุ่ม
ทั้งคู่คบกันไปได้สักพักก็เลิกกันไป และชีวิตของเค้าก็ดำเนินต่อไปแบบนี้เรื่อยๆ เมื่อใดก็ตามที่เค้าต้องการคบกับผู้หญิงสักคน เค้าจะรอให้เพื่อนๆแนะนำให้ ตอนนี้นอกจากเค้าจะมีปัญหากลัวการถูกปฎิเสธแล้ว เค้ายังมีปัญหาใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกด้วย เค้าไม่ได้ผู้หญิงในแบบที่เค้าต้องการ!!! แน่ล่ะ เค้าจะได้ผู้หญิงในแบบที่ต้องการได้อย่างไร ในเมื่อ เค้ารอคอยให้คนอื่นเป็นคนเลือกมาให้
“แต่ว่า...เค้าเป็นผู้ชายหน้าตาดีนะครับ มันก็น่าจะมีผู้หญิงในแบบที่เค้าชอบเข้ามาหาเค้าก่อนบ้างอยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ? เค้าไม่จำเป็นต้องเข้าไปหาผู้หญิงก่อนแล้วเสี่ยงกับการถูกปฎิเสธ” เด็กหนุ่มถามด้วยความสงสัย
“เจ้าหนุ่มน้อย เจ้าอยากจะใช้ชีวิตทั้งชีวิตหวังพึ่งแต่โชคชะตาอย่างนั้นหรือ!!! ทำไมเจ้าถึงอยากจะใช้ชีวิตอยู่กับการรอคอย!!! ทำไมเจ้าต้องรอให้ผู้หญิงเข้ามาหาเจ้าก่อน ทั้งๆที่เจ้าสามารถออกไปหาสาวคนที่เจ้าถูกใจได้ ทำไมเจ้าถึงให้คนอื่นมากำหนดชีวิตของเจ้า สิ่งที่เจ้าเป็น ทั้งๆที่เจ้าสามารถกำหนดชีวิตเจ้าได้ด้วยตัวเอง!!!”
มันเป็นจุดจบของความเป็นชาย การเป็นผู้ชายหมายถึงการออกไปเอาสิ่งที่ต้องการ ไม่ใช่รอคอยโชคชะตา!!!
ดอนฮวนพาเด็กหนุ่มมาพบผู้ชายอีกคนนึง ผู้ชายคนนี้ไม่หล่อ ไม่รวย เห็นได้ชัดว่าเค้าไม่ใช่ชายในฝันของผู้หญิงสักเท่าไหร่ แต่เค้ามีสิ่งที่ผู้ชายคนอื่นไม่มี เค้าไม่กลัวการถูกปฎิเสธ!!! เค้าเข้าไปพูดคุยกับสาวๆที่เค้าชอบก่อนผู้หญิงมักจะคุยด้วยอย่างเต็มใจ เค้าขอเบอร์โทรศัพท์พวกเธอ แต่ว่าพวกเธอก็มักจะปฎิเสธอย่างสุภาพ เค้ายังคงพยายามต่อไปอีกนับสิบครั้ง แต่ว่าโชคยังไม่เข้าข้าง ผู้หญิงยังปฎิเสธกลับมาทุกครั้ง
“อา... แย่ๆๆ เค้าทำผิดพลาดมาก เค้าไม่ควรเข้าไปขอเบอร์พวกเธอเลย ผมรู้ว่าเค้าต้องเจ็บมากแน่ๆที่โดนปฎิเสธทุกครั้ง”
“คอยดูต่อไป เจ้าหนุ่มน้อย”ดอนฮวนบอกเด็กหนุ่ม
ชายหนุ่มยังคงเข้าไปคุยกับสาวๆอย่างสม่ำเสมอ แต่ครั้งนี้เลวร้ายที่สุด เค้าโดนปฎิเสธอย่างหยาบคายโดยสาวคนหนึ่ง
“ง่ะ...แย่แล้ว ครั้งนี้แย่จริงๆ ผู้หญิงบอกให้เค้าไปไกลๆ เค้าต้องรู้สึกแย่มากแน่ๆ”
ตรงกันข้าม ชายหนุ่มขอบคุณหญิงสาวและเดินจากออกมาอย่างสง่าผ่าเผย เค้ามีสีหน้าสบายใจ ไม่ได้โกรธเลยแม้แต่น้อย
“มันเป็นไปได้ยังไง!!! เค้าเพิ่งถูกปฎิเสธมาอย่างแรง มันเจ็บมากผมรู้ เค้าเพิ่งทำผิดพลาดมาทำไมถึงยังยิ้มได้ เค้าต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ”เด็กหนุ่มตกตะลึง
“เค้าขอบคุณเธอเพราะเธอทำให้เค้ารู้ว่าเธอเป็นนางมารร้าย ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ตัวเค้า เธอมีปัญหาในการควบคุมอารมณ์และสื่อสารกับคนอื่น เค้าไม่ได้ต้องการผู้หญิงประเภทนี้ ! และในการที่เธอปฎิเสธเค้าอย่างหยาบคายทำให้เค้ารู้ว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่เค้าต้องการ เค้าไม่ต้องเจอกับปัญหานั้นอีกต่อไป นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมเค้าถึงขอบคุณเธอ”
“แต่ถึงแม้ว่าปัญหาจะไม่ได้อยู่ที่ตัวเค้า มันก็ยังแย่อยู่ดีที่โดนปฎิเสธกลับมา ไม่ใช่หรือครับ?
ยังไงเค้าก็ต้องรู้สึกเจ็บที่ทำผิดพลาด”เด็กหนุ่มยังคงสงสัย
“ไม่ ไม่เจ็บเลยแม้แต่น้อย และเค้าก็ไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดด้วย ตรงกันข้ามเค้ารู้สึกพอใจเพราะเค้ากำลังประสบความสำเร็จ” ดอนฮวนอธิบาย
“อะไรนะ?” เด็กหนุ่มงุนงงอย่างมาก “ผมไม่เข้าใจครับ ทำไมเค้าถึงไม่เจ็บ ทำไมเค้าถึงกำลังประสบความสำเร็จ? เห็นๆกันอยู่ว่าเค้าโดนปฎิเสธกลับมาทุกครั้ง”
“เค้าไม่เจ็บเพราะว่าการถูกผู้หญิงปฎิเสธหรือสิ่งที่เจ้าเรียกว่าการทำผิดพลาดนั้นเป็นสิ่งจำเป็นที่เค้าต้องการในการจีบสาวให้ประสบความสำเร็จ เรามาถามผู้รู้กันหน่อยดีมั้ย?”
ด้วยพลังเวทย์มนต์ ดอนฮวนหยิบไม้กายสิทธิ์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ และเสกบุคคลผู้หนึ่งขึ้นมา
โทมัส เอดิสัน บิดาแห่งการประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า
“ขอโทษด้วยที่ต้องรบกวน มิสเตอร์เอดิสัน”ดอนฮวนพูด “แต่เราอยากจะถามคุณสักหน่อยว่า อัจฉริยะอย่างคุณรู้สึกยังไงในตอนที่ชาวบ้านหาว่าคุณบ้าที่พยายามประดิษฐ์หลอดไฟ คุณรู้สึกยังไงในตอนที่คุณล้มเหลวมา 10,000 ครั้งก่อนที่จะประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าได้สำเร็จ”
มิสเตอร์เอดิสันเงียบไปสักพัก ก่อนจะพูดว่า
“I have not failed. I’ve just found 10,000 ways that won’t work.”
Thomas A.Edison 1874-1931
“ผมไม่ได้ล้มเหลวแต่ผมค้นพบวิธีที่ไม่ได้ผลถึง 10,000 วิธี”
โทมัส เอ. เอดิสัน 1874-1931
ดอนฮวนขยับไม้กายสิทธ์ขึ้นลงอยู่ 2-3 ครั้ง มิสเตอร์เอดิสันก็หายตัวไปในกลุ่มควันสีเทาอย่างรวดเร็ว
“เจ้าหนุ่มน้อย เจ้าเห็นว่าการถูกปฎิเสธคือเรื่องที่ผิดพลาด แต่มิสเตอร์เอดิสันกลับมองว่าเป็นความสำเร็จ การก้าวไปข้างหน้า บอกข้ามาสิวันนี้เจ้าถูกปฎิเสธโดยสาวๆ บ้างหรือยัง? วันนี้เจ้าได้ทำสิ่งที่เจ้าเรียกว่าความผิดพลาดบ้างหรือยัง?”ดอนฮวนถาม
“เอ่ออ...ยังครับ จริงๆแล้วผมยังไม่ได้เริ่มทำเลยด้วยซ้ำ ผมกลัวการถูกปฎิเสธ กลัวการทำผิดพลาด”
“นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมเจ้าถึงยังไม่ประสบความสำเร็จ เจ้ายังสะสมความผิดพลาดไม่เพียงพอ เอาล่ะเราลองมาถามผู้รู้อีกคนดูดีกว่า”
ดอนฮวนเสกสนามบาสเก็ตบอลขึ้นมาพร้อมกับนักบาสเก็ตบอลร่างสูงผิวดำคนหนึ่ง
จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ไมเคิล จอร์แดน
“มิสเตอร์จอร์แดน คุณชนะเลิศ NBA ถึง 6 สมัย และตั้งแต่ชาวโลกได้รู้จักกีฬาบาสเกตบอล คุณได้รับการยกย่องว่าเป็นคนที่เล่นบาสเกตบอลเก่งที่สุดเท่าที่เคยมีมา คุณช่วยบอกผมหน่อยสิว่าอะไรคือเคล็ดลับความสำเร็จของคุณ?” ดอนฮวนถาม
มิสเตอร์จอร์แดนยิ้มและวิ่งไปหยิบลูกบาสแล้วเลี้ยงไปที่เขต 3 แต้ม เค้ากระโดดขึ้นชู้ตทันที
แป็ก!!! โอวว ลูกกระทบห่วงออกมา เค้ายังวิ่งตามไปเก็บบอล แล้วเลี้ยงกลับไปที่เดิม พร้อมกลับกระโดดขึ้นชู้ต แป็ก!!! ลูกยังไม่ลง คราวนี้หนที่สาม มิสเตอร์จอร์แดนหายใจช้าๆ และกระโดดจัมพ์ชู้ตเฟดอเวย์ (fade away) ซวบ!!! ลูกลงไปอย่างสวยงาม มิสเตอร์จอร์แดนหันกลับมามองเด็กหนุ่มแล้วพูดขึ้นมาว่า
“เคล็ดลับของผม มันง่ายนิดเดียว”
“อะไรครับ คุณจอร์แดน เคล็ดลับคุณคืออะไรครับ?”เด็กหนุ่มถามด้วยความตื่นเต้น
“I've missed more than 9000 shots in my career. I've lost almost 300 games. 26 times, I've been trusted to take the game winning shot and missed. I've failed over and over and over again in my life. And that is why I succeed.”
-Michael Jordan.
“ผมชู้ตพลาดมามากกว่า 9,000 ลูกในชีวิตการเล่น ผมแพ้มาเกือบ 300 เกมส์ อีก 26 ครั้งที่เพื่อนร่วมทีมไว้ใจให้ชู้ตในวินาทีสุดท้ายแล้วพลาด ผมทำผิดพลาดมาตลอดเวลา ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก และนั่นก็เป็นสาเหตุว่าทำไมผมถึงประสบความสำเร็จ” -ไมเคิล จอร์แดน
พูดจบมิสเตอร์จอร์แดนได้หายไปกับกลุ่มควันเหมือนเอดิสัน
“เจ้าเข้าใจหรือยัง? คนที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่คนที่ไม่เคยทำผิดพลาด แต่คนที่ประสบความสำเร็จเป็นคนที่ทำผิดพลาดตลอดเวลา” ดอนฮวนบอกพร้อมกับใช้ไม้กายสิทธิ์เสกสาวน้อยวัยใสขึ้นมาหนึ่งคน เด็กหนุ่มยืนมองอ้าปากค้าง ตื่นตะลึงกับความสดใสของสาวน้อย
ดอนอวนใช้ไม้กายสิทธิ์เคาะหัวเด็กหนุ่ม “เอ้า! มัวรออะไรอยู่ เข้าไปคุยกับเธอสิ ข้ารู้ว่าเจ้าชอบเธอแน่ๆ ก็เธอน่ารักซะขนาดนั้น ดัดฟันเหล็กด้วยนะนั่น 55 “ดอนฮวนหัวเราะชอบใจ
“ต...แต่ว่า ผม”
ก่อนที่เด็กหนุ่มจะได้ตั้งตัว ดอนฮวนใช้เวทมนต์บังคับร่างกายให้เด็กหนุ่มเดินเข้าไปหาสาวน้อยสุดน่ารัก
“ฮ..เฮ้ยยยย ทำไมขามันขยับไปเอง ไม่เอาๆๆ ..ไม่ๆๆ”
และแล้วเด็กหนุ่มก็มายืนอยู่ตรงหน้าของสาวน้อยพอดิบพอดี เค้าตื่นเต้นมากและยืนตัวบิดไปมา“เอ่อ...อ...คือ ผมคิดว่าคุณน่ารักครับ” เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ สาวน้อยหัวเราะคิกคักกับความเปิ่นของเด็กหนุ่ม ก่อนที่จะพูดว่า“ขอบคุณค่ะ”เธอยืนยิ้มให้เด็กหนุ่มจากนั้นก็เดินจากไป
”อา....เธอน่ารักจังและดูเป็นมิตรด้วย บางทีถ้าเราขอเบอร์โทรศัพท์เธออาจจะให้ก็ได้ น..นะ..นี่มันอะไรกันนี่ เราไม่เคยคิดเลยว่าจะมีโอกาสแบบนี้เกิดขึ้น โอวว พระเจ้า นี่เราเพิ่งพลาดโอกาสทองไปใช่มั้ยนี่!!!”
“ใช่แล้ว ผู้หญิงมากมายก็ชอบที่เจ้าเข้าไปคุยกับพวกเธอ พวกเธอมีจิตใจที่ดีกว่าที่เจ้าคาดไว้เยอะ” ดอนฮวนพูด “เจ้าหนุ่มน้อยแต่ก่อนเจ้ามองไม่เห็นโอกาส แต่ตอนนี้เจ้าได้รู้แล้วว่ามันขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเอง ตอนนี้เจ้าเริ่มเห็นโอกาสนั้นแล้ว เมื่อใดก็ตามที่เจ้าเห็นสาวคนที่ถูกใจ อย่าลังเล เข้าไปคุยกับเธอ!!!”
“คุณดอนฮวนผมเริ่มมองเห็นโอกาสแล้ว แต่ผมเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจเอาซะเลย ผมยังลังเลที่จะเข้าไปคุยกับสาวๆ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ผมคงไม่มีทางเข้าไปคุยกับเธอแน่ๆ ผมไม่มั่นในตัวเองจริงๆครับ”
“ที่เจ้าลังเล มันก็เป็นเพียงแค่เจ้ายังไม่คุ้นเคยกับการเข้าไปหาพวกเธอเท่านั้นเอง และเจ้าจะไม่มีทางคุ้นกับมันจนกว่าเจ้าจะเดินไปหาพวกเธอ จงจำเอาไว้เมื่อใดที่เจ้าลังเล เจ้าจะต้องเดินเข้าไปคุยกับพวกเธอ อย่ายืนมอง อย่ารอคอยโอกาสที่ดี อย่าคิดหาคำพูดที่เพอร์เฟกต์!!! นี่เป็นวิธีที่จะทำให้เจ้าหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์”
”วงจรอุบาทว์?”
“ทุกๆครั้งที่เจ้าลังเล และรอคอยโอกาสที่เพอร์เฟกต์ เจ้าก็ถูกสาปโดยความกลัวเข้าไปทีละน้อยๆ เจ้าเห็นสาวที่ชอบ เจ้ายืนรอ รอ รอ แล้วก็รอ จนกระทั่งเธอเดินจากไป โอกาสที่เพอร์เฟกต์ไม่เคยมาถึง!!! ทุกๆครั้งที่เจ้าเลือกที่จะยืนอยู่กับที่เจ้าก็ได้ถลำลึกเข้าไปในวงจรนี้ จนกระทั่งเจ้าไม่เหลือความเป็นชายอยู่อีกเลย”
”แล้วผมจะหลุดออกมาจากวงจรนี้ได้ยังไงครับ มีวิธีแก้มั้ยครับ?”
”แน่นอน มันมีทางแก้”
ดอนฮวนยื่นยา 4 เม็ดให้กับเด็กหนุ่ม ยาแต่ละเม็ดใช้รักษาให้ผู้ชายหลุดพ้นจากความลังเล
เด็กหนุ่มทานยาเม็ดที่ 1
“ยาเม็ดที่ 1 ทำให้เจ้าเข้าใจว่า การเข้าไปคุยกับสาวๆ คือสิทธิพิเศษที่ผู้ชายได้รับ นี่คือสิ่งที่ทุกคนรวมทั้งผู้หญิงคาดหวังว่าผู้ชายจะต้องทำ นี่คือสิ่งที่ธรรมชาติต้องการจะให้มันเป็น!!! การมีสิทธิเข้าไปคุยกับผู้หญิงก่อนคือสิ่งที่เป็นข้อดีของผู้ชาย ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว”
เด็กหนุ่มทานยาเม็ดที่ 2
“ยาเม็ดที่ 2 ทำให้เจ้าไม่ใช้ชีวิตอยู่กับการรอคอย และเลิกที่จะอยู่กับความกลัว เจ้ารู้ว่ามันไร้ประโยชน์ที่จะใช้ชีวิตในการรอคอยทั้งๆที่เจ้าสามารถออกไปทำมันให้เป็นจริงได้ด้วยตัวเอง มันสนุกอย่างไรที่จะใช้ชีวิตอยู่ในความกลัว ในกรงขัง!!! จงเป็นอิสระดั่งนกที่บินออกจากรัง ปลดปล่อยตัวเอง ดึงความเป็นชายออกมาและนั่นก็คือการออกไปเอาสิ่งที่ต้องการ เจ้าเห็นผู้หญิงที่เจ้าต้องการ เจ้าเดินไปคุยกับเธอ”
เด็กหนุ่มทานยาเม็ดที่ 3
“ยาเม็ดที่ 3 เจ้ารู้ว่ามีผู้หญิงอีกมากมายที่รอคอยให้ผู้ชายเข้าไปหา ผู้ชายคนที่ไม่เหมือนคนอื่น คนที่กล้าที่จะเป็นอิสระและยอมรับในความเป็นชาย เจ้าไม่มีเหตุผลอันใดที่จะต้องกลัวพวกเธอ พวกเธอก็เป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ รูปร่างบอบบาง ร้องไห้บ่อยเพราะความเหงา เฝ้ารอคอยผู้ชายสักคนที่จะเข้ามาในชีวิต ถ้าใครที่ดูเหมือนอ่อนแอขนาดนั้นทำให้เจ้ากลัวได้ล่ะก็ เจ้ามีปัญหาใหญ่แล้วล่ะ”
เด็กหนุ่มทานยาเม็ดที่ 4 “ยาเม็ดที่ 4 เม็ดที่สำคัญที่สุด เมื่อใดที่เจ้าลังเลและกลัวที่จะถูกปฎิเสธ ยาเม็ดนี้จะทำให้เจ้าคิดถึงมิสเตอร์เอดิสันและมิสเตอร์จอร์แดน พวกเขาชอบการโดนปฎิเสธ พวกเขารักการผิดพลาด เพราะว่า… ความสำเร็จถูกซ่อนอยู่ในความผิดพลาด คนที่มองหาความผิดพลาดเท่านั้นที่จะพบความสำเร็จ!
วันเสาร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2551
การจะมี EQ ที่ดีในชีวิตคู่และความรัก
ชีวิตคู่เริ่มจากคนสองคนเกิดความรักใคร่ผูกพันจนอยากที่จะใช้ชีวิตร่วมกันและทั้งสองก็มักจะคาดหวังและวาดฝันไว้ว่าจะสามารถครองคู่กันอย่างสุขสมยาวนานไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ มีทฤษฎีและแนวคิดมากมายที่จะทำให้สัมพันธ์รักสัมพันธ์สวาทของเธอและเขาทั้งสองสามารถที่จะดำรงคงอยู่ และพัฒนางอกงามไปตามกาลเวลาที่ผ่านไป บางทฤษฎีบ่งบอกว่า กามารมณ์ที่สุขสมเป็นส่วนหนึ่งของการครองรักครองเรือน เพราะกามารมณ์นั้น เป็นการบอกรักที่เรียบง่าย และเมื่อเกิดความสุขสมร่วมกันแล้ว เรื่องใหญ่ก็จะกลายเป็นเรื่องเล็ก และเรื่องเล็กๆ ก็จะกลายเป็นไม่มีเรื่อง เนื่องจากกามารมณ์ในชีวิตคู่ เป็นการถ่ายทอดความรักด้วยภาษากาย ถ่ายทอดผ่านการสัมผัสรักที่อบอุ่น ซาบซึ้ง ในช่วงเวลาที่แสนจะโรแมนติกและเป็นกันเอง บางทฤษฎีก็บ่งบอกว่า เสน่ห์ปลายจวัก ผัวจักรักจนวันตาย โดยอาศัยทฤษฎีที่ว่า คนเรานั้นต้องดื่มต้องกิน และความสุขที่ได้รับจากการกินอาหารที่แสนอร่อยรสสัมผัสแห่งความสุข ที่ถ่ายทอดผ่านลิ้นจะเข้าไปกำซาบซ่านอยู่ภายในจิตใจ จนติดอกติดใจในรสมือนาง และไม่สามารถที่จะละจากเธอไปได้ และส่วนใหญ่แล้ว ก็มักจะเน้นในลักษณะของ...การเข้าใจกัน ไว้ใจกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เคารพในกันและกัน รวมทั้งให้อภัยกันในความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นได้ โดยไม่ตั้งใจ แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคน ซึ่งอยากมีชีวิตคู่อย่างสุขสมและมั่นคงต้องการ ก็คือ "อีคิว" ความฉลาดทางอารมณ์ ที่ควรจะต้องได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการดำเนินชีวิตประจำวัน เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี กล่าวกันว่า การจะรักษาสัมพันธ์กับใครสักคนหนึ่งนั้น เรื่องของอารมณ์เป็นเรื่องที่สำคัญมาก... การรู้จักใส่อารมณ์ แต่ไม่ใช้อารมณ์ ในทุกสถานการณ์นั้น มักจะนำความสำเร็จมาสู่ผู้ที่รู้จัก ใส่อารมณ์ออกมาเสมอ
มารู้จัก อีคิว...หรือความฉลาดทางอารมณ์กันก่อนจะดีไหม ??
ความฉลาดทางอารมณ์ หรือที่นิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า 'อีคิว' นั้น หมายถึงความสามารถในการควบคุมอารมณ์ และพัฒนาอารมณ์ให้เป็นปกติสุขได้ ไม่ว่าเหตุการณ์รอบข้างจะเป็นอย่างไร ความฉลาดทางอารมณ์นี้ เป็นสิ่งที่สามารถเพิ่มพูนได้ ทั้งจากการเลี้ยงดูในวัยเด็ก รวมทั้งการฝึกฝนเพิ่มพูนพัฒนาขึ้นในทุกช่วงชีวิต พูดง่ายๆ ก็คือ อีคิวหรือความฉลาดทางอารมณ์นี้ สามารถฝึกฝนได้ พัฒนาเพิ่มพูนขึ้นได้ด้วยตนเอง จากประสบการณ์ต่างๆ ในชีวิต
คนที่มีอีคิวไม่ดี จะไม่เข้าใจตนเอง ไม่เข้าใจคนอื่น ไม่ยอมรับความจริง เอาแต่ใจตนเอง และไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งในใจของตนเองได้ โดยปกติแล้ว คนเรานั้น มีอารมณ์อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์แช่มชื่น แจ่มใส ยินดีปรีดา เศร้าสร้อย หงอยเหงา โกรธอิจฉาริษยา อาฆาต และมีความเครียด ผิดหวัง หรือสมหวัง แล้วแต่สถานการณ์ไป ซึ่งอารมณ์ในทางลบเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว คนที่มีพื้นฐานของความฉลาดทางอารมณ์ไม่ดี จะเกิดอาการทางอารมณ์มากกว่าและนานกว่าคนที่มีความฉลาดทางอารมณ์ จนเกิดความล้มเหลวในการทำงาน ในสัมพันธภาพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นต่อผู้ร่วมงานหรือบุคคลในครอบครัว
เดี๋ยวนี้ คนเรารักกันง่าย... และเลิกรักกันง่าย เพราะใช้อารมณ์ต่อกัน คิดถึงความเห็น และความต้องการของตนเองเป็นใหญ่ และไม่ยอมรับความคิดและความต้องการของคนใกล้ชิด พูดง่ายๆ ก็คือ เห็นแก่ตัวไว้ก่อน อาจจะเป็นเพราะว่า คนเรายุคนี้ต้องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันในทุกเรื่องราว จนเป็นนิสัยที่จะประพฤติปฏิบัติตนแบบนั้น โดยไม่เว้นแม้แต่คนใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม ถ้าสามารถพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี หรืออย่างน้อยก็อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานแล้ว สัมพันธภาพต่อคนใกล้ชิดในชีวิตคู จะดีขึ้นอย่างทันตาเห็น
ใครๆ ก็รู้กันอยู่ว่า คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์ หรืออีคิวสูงนั้น จะเป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี เข้ากับคนอื่นที่อยู่รอบข้างได้ดี รู้จักการร่วมแรงร่วมใจสมานสามัคคีในการทำงานทุกอย่าง รวมทั้งการใช้ชีวิตคู่ร่วมกันด้วย แน่นอนว่า คนที่มีอีคิวดีนั้น นอกจากจะรู้จักการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีแล้ว ยังรู้จักพัฒนาความสัมพันธ์ รวมทั้งรักษาให้สัมพันธภาพยืนยาว และเป็นสุข เนื่องจากคนที่มีอีคิวสูงๆ จะรู้จักเห็นอกเห็นใจ รวมทั้งเข้าใจในความรู้สึกของคนอื่นเป็นอย่างดี
...เมื่อเกิดปัญหาต่างๆ ในชีวิต ก็รู้จักการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์
ใช้การสื่อสารในทางบวกในการแก้ปัญหา ใช้พลังอำนาจของความคิดในทางบวกให้เป็นประโยชน์ รู้จักใช้ความชื่นชมยินดีและการให้กำลังใจกันแทนการดุด่าว่ากล่าว... เป็นคนที่ไม่จมอยู่กับความคิดในทางลบ ไม่จมอยู่กับความเศร้านานเกินควร ไม่ท้อถอย ไม่ท้อแท้ ในอุปสรรคต่างๆ ของชีวิต รู้จักหาทางออกที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อทุกคน มีความคิดแบบผู้ชนะคือ... ทุกปัญหามีทางออก เป็นคนที่มองไม่เห็นคนผิด... แต่มองเห็นปัญหาที่จะร่วมมือร่วมแรงร่วมใจกันแก้ไข
การที่จะมีอีคิวที่ดีในชีวิตคู่และความรักนั้น ก่อนอื่นจะต้องมีทัศนคติที่ดีต่อการมีชีวิตคู่...
• เริ่มจากการรู้จักตนเอง รู้จุดเด่นจุดด้อย รวมทั้งจุดอ่อนของตนเอง และพยายามไม่ให้จุดอ่อนของตนเอง มาเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตคู่ โดยเฉพาะจุดด้อยจุดอ่อนของการใช้อารมณ์ในทางร้าย ใช้การสื่อสารในทางลบ ต้องพยายามยอมรับและปรับปรุงแก้ไขจุดอ่อนของตนเองที่จะเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตคู่กับใครสักคนหนึ่ง ต้องยอมรับให้ได้ว่า เป้าประสงค์ของการใช้ชีวิตคู่ก็คือ การพยายามที่จะเป็นคู่ชีวิตของใครสักคน หาคำตอบให้ได้ก่อนว่า ต้องการมีชีวิตคู่จริงๆ รวมทั้งพยายามทำทุกอย่างที่จะประคับประคองนาวารักไม่ให้ล่มกลางสายน้ำ
• รู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเอง ยามดีใจ เสียใจ เศร้าใจ ไม่ให้แสดงออกมากไปหรือไม่เก็บกดมากจนเกิดปัญหาทางจิตใจตามมา ต้องพยายามควบคุมอารมณ์ให้ได้ โดยเฉพาะเมื่อรู้สึกโกรธ ผิดหวัง รอจนอารมณ์สงบ แล้วจึงค่อยๆ แก้ไขปัญหาต่างๆ โดยใช้ปัญญามากกว่าอารมณ์
• รู้จักปลดปล่อยอารมณ์ที่ไม่ดีออกไป ในรูปแบบของพลังงานที่ใช้ในการเล่นกีฬา เล่นดนตรี หรือทำอะไรก็ได้ที่เป็นการปลดปล่อยพลังงานออกไป จนเมื่อเกิดการผ่อนคลาย หายเครียดแล้ว จึงค่อยๆจัดการปัญหาต่างๆ ในชีวิตคู่ ด้วยความฉลาดในทางอารมณ์
• รู้จักการเพิ่มพลังสร้างแรงจูงใจ ให้เห็นสิ่งดีงามของคนที่เป็นคู่ชีวิต มองอย่างรู้แจ้ง เห็นจริง ทัศนคติที่ดีต่อคู่ของตน รวมทั้งมานะพยายามที่จะทำให้คู่ชีวิตเห็นความดีงาม ของการมีสัมพันธภาพร่วมกัน
• พยายามเข้าใจถึงจิตใจของคู่ครอง เพราะการจะเปลี่ยนสถานะจากคู่ครองเฉยๆ มาเป็นคู่คิดและคู่ชีวิตนั้น ต้องอาศัยการพยายามเข้าใจอย่างที่เห็นและเป็นอยู่ ไม่ใช่อย่างที่อยากจะเห็น จะได้ไม่เกิดความผิดหวัง มีการพยายามที่จะปรับปรุงตัวเข้าหากัน ประสานสอดคล้องความแปลกแยก โดยไม่สร้างความแตกแยก รู้จักการอ่านภาษากาย การกระทำของคู่ครอง และคิดให้ออกว่า ถ้าเราเป็นเขาเราจะทำอย่างไร
• รักษาสัมพันธภาพให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ การสร้างสัมพันธภาพนั้น แม้ว่าจะไม่ง่าย แต่การรักษาสัมพันธภาพนั้น ไม่ง่ายแน่นอน เพราะเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่จะต้องเรียนรู้ และปรับปรุงไปตลอดกาลใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน
• รู้จักการยกย่องชมเชยคู่ของตนเองอยู่เสมอ แน่นอนว่า คนเรานั้นมีนิสัยที่ไม่ดีหรือจุดด้อยอยู่ที่ว่า ไม่ชอบให้ใครมาดุด่าว่ากล่าว ในขณะเดียวกันก็ต้องการให้ใครสักคนมาเข้าใจ เห็นใจ ให้กำลังใจ และชื่นชมยินดี
ชีวิตคู่ จึงจะเปี่ยมไปด้วยความรักความผูกพัน และดำเนินไปอย่างราบรื่น และสุขสม ด้วยมธุรสวาจาและความชื่นชม อย่างจริงใจที่มีต่อกัน ร่วมแรงร่วมใจกันฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ไป
... ด้วยความฉลาดทางอารมณ์ หรือ อีคิว นั่นเอง !!!
มารู้จัก อีคิว...หรือความฉลาดทางอารมณ์กันก่อนจะดีไหม ??
ความฉลาดทางอารมณ์ หรือที่นิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า 'อีคิว' นั้น หมายถึงความสามารถในการควบคุมอารมณ์ และพัฒนาอารมณ์ให้เป็นปกติสุขได้ ไม่ว่าเหตุการณ์รอบข้างจะเป็นอย่างไร ความฉลาดทางอารมณ์นี้ เป็นสิ่งที่สามารถเพิ่มพูนได้ ทั้งจากการเลี้ยงดูในวัยเด็ก รวมทั้งการฝึกฝนเพิ่มพูนพัฒนาขึ้นในทุกช่วงชีวิต พูดง่ายๆ ก็คือ อีคิวหรือความฉลาดทางอารมณ์นี้ สามารถฝึกฝนได้ พัฒนาเพิ่มพูนขึ้นได้ด้วยตนเอง จากประสบการณ์ต่างๆ ในชีวิต
คนที่มีอีคิวไม่ดี จะไม่เข้าใจตนเอง ไม่เข้าใจคนอื่น ไม่ยอมรับความจริง เอาแต่ใจตนเอง และไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งในใจของตนเองได้ โดยปกติแล้ว คนเรานั้น มีอารมณ์อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์แช่มชื่น แจ่มใส ยินดีปรีดา เศร้าสร้อย หงอยเหงา โกรธอิจฉาริษยา อาฆาต และมีความเครียด ผิดหวัง หรือสมหวัง แล้วแต่สถานการณ์ไป ซึ่งอารมณ์ในทางลบเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว คนที่มีพื้นฐานของความฉลาดทางอารมณ์ไม่ดี จะเกิดอาการทางอารมณ์มากกว่าและนานกว่าคนที่มีความฉลาดทางอารมณ์ จนเกิดความล้มเหลวในการทำงาน ในสัมพันธภาพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นต่อผู้ร่วมงานหรือบุคคลในครอบครัว
เดี๋ยวนี้ คนเรารักกันง่าย... และเลิกรักกันง่าย เพราะใช้อารมณ์ต่อกัน คิดถึงความเห็น และความต้องการของตนเองเป็นใหญ่ และไม่ยอมรับความคิดและความต้องการของคนใกล้ชิด พูดง่ายๆ ก็คือ เห็นแก่ตัวไว้ก่อน อาจจะเป็นเพราะว่า คนเรายุคนี้ต้องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันในทุกเรื่องราว จนเป็นนิสัยที่จะประพฤติปฏิบัติตนแบบนั้น โดยไม่เว้นแม้แต่คนใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม ถ้าสามารถพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี หรืออย่างน้อยก็อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานแล้ว สัมพันธภาพต่อคนใกล้ชิดในชีวิตคู จะดีขึ้นอย่างทันตาเห็น
ใครๆ ก็รู้กันอยู่ว่า คนที่มีความฉลาดทางอารมณ์ หรืออีคิวสูงนั้น จะเป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี เข้ากับคนอื่นที่อยู่รอบข้างได้ดี รู้จักการร่วมแรงร่วมใจสมานสามัคคีในการทำงานทุกอย่าง รวมทั้งการใช้ชีวิตคู่ร่วมกันด้วย แน่นอนว่า คนที่มีอีคิวดีนั้น นอกจากจะรู้จักการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีแล้ว ยังรู้จักพัฒนาความสัมพันธ์ รวมทั้งรักษาให้สัมพันธภาพยืนยาว และเป็นสุข เนื่องจากคนที่มีอีคิวสูงๆ จะรู้จักเห็นอกเห็นใจ รวมทั้งเข้าใจในความรู้สึกของคนอื่นเป็นอย่างดี
...เมื่อเกิดปัญหาต่างๆ ในชีวิต ก็รู้จักการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์
ใช้การสื่อสารในทางบวกในการแก้ปัญหา ใช้พลังอำนาจของความคิดในทางบวกให้เป็นประโยชน์ รู้จักใช้ความชื่นชมยินดีและการให้กำลังใจกันแทนการดุด่าว่ากล่าว... เป็นคนที่ไม่จมอยู่กับความคิดในทางลบ ไม่จมอยู่กับความเศร้านานเกินควร ไม่ท้อถอย ไม่ท้อแท้ ในอุปสรรคต่างๆ ของชีวิต รู้จักหาทางออกที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อทุกคน มีความคิดแบบผู้ชนะคือ... ทุกปัญหามีทางออก เป็นคนที่มองไม่เห็นคนผิด... แต่มองเห็นปัญหาที่จะร่วมมือร่วมแรงร่วมใจกันแก้ไข
การที่จะมีอีคิวที่ดีในชีวิตคู่และความรักนั้น ก่อนอื่นจะต้องมีทัศนคติที่ดีต่อการมีชีวิตคู่...
• เริ่มจากการรู้จักตนเอง รู้จุดเด่นจุดด้อย รวมทั้งจุดอ่อนของตนเอง และพยายามไม่ให้จุดอ่อนของตนเอง มาเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตคู่ โดยเฉพาะจุดด้อยจุดอ่อนของการใช้อารมณ์ในทางร้าย ใช้การสื่อสารในทางลบ ต้องพยายามยอมรับและปรับปรุงแก้ไขจุดอ่อนของตนเองที่จะเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตคู่กับใครสักคนหนึ่ง ต้องยอมรับให้ได้ว่า เป้าประสงค์ของการใช้ชีวิตคู่ก็คือ การพยายามที่จะเป็นคู่ชีวิตของใครสักคน หาคำตอบให้ได้ก่อนว่า ต้องการมีชีวิตคู่จริงๆ รวมทั้งพยายามทำทุกอย่างที่จะประคับประคองนาวารักไม่ให้ล่มกลางสายน้ำ
• รู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเอง ยามดีใจ เสียใจ เศร้าใจ ไม่ให้แสดงออกมากไปหรือไม่เก็บกดมากจนเกิดปัญหาทางจิตใจตามมา ต้องพยายามควบคุมอารมณ์ให้ได้ โดยเฉพาะเมื่อรู้สึกโกรธ ผิดหวัง รอจนอารมณ์สงบ แล้วจึงค่อยๆ แก้ไขปัญหาต่างๆ โดยใช้ปัญญามากกว่าอารมณ์
• รู้จักปลดปล่อยอารมณ์ที่ไม่ดีออกไป ในรูปแบบของพลังงานที่ใช้ในการเล่นกีฬา เล่นดนตรี หรือทำอะไรก็ได้ที่เป็นการปลดปล่อยพลังงานออกไป จนเมื่อเกิดการผ่อนคลาย หายเครียดแล้ว จึงค่อยๆจัดการปัญหาต่างๆ ในชีวิตคู่ ด้วยความฉลาดในทางอารมณ์
• รู้จักการเพิ่มพลังสร้างแรงจูงใจ ให้เห็นสิ่งดีงามของคนที่เป็นคู่ชีวิต มองอย่างรู้แจ้ง เห็นจริง ทัศนคติที่ดีต่อคู่ของตน รวมทั้งมานะพยายามที่จะทำให้คู่ชีวิตเห็นความดีงาม ของการมีสัมพันธภาพร่วมกัน
• พยายามเข้าใจถึงจิตใจของคู่ครอง เพราะการจะเปลี่ยนสถานะจากคู่ครองเฉยๆ มาเป็นคู่คิดและคู่ชีวิตนั้น ต้องอาศัยการพยายามเข้าใจอย่างที่เห็นและเป็นอยู่ ไม่ใช่อย่างที่อยากจะเห็น จะได้ไม่เกิดความผิดหวัง มีการพยายามที่จะปรับปรุงตัวเข้าหากัน ประสานสอดคล้องความแปลกแยก โดยไม่สร้างความแตกแยก รู้จักการอ่านภาษากาย การกระทำของคู่ครอง และคิดให้ออกว่า ถ้าเราเป็นเขาเราจะทำอย่างไร
• รักษาสัมพันธภาพให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ การสร้างสัมพันธภาพนั้น แม้ว่าจะไม่ง่าย แต่การรักษาสัมพันธภาพนั้น ไม่ง่ายแน่นอน เพราะเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่จะต้องเรียนรู้ และปรับปรุงไปตลอดกาลใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน
• รู้จักการยกย่องชมเชยคู่ของตนเองอยู่เสมอ แน่นอนว่า คนเรานั้นมีนิสัยที่ไม่ดีหรือจุดด้อยอยู่ที่ว่า ไม่ชอบให้ใครมาดุด่าว่ากล่าว ในขณะเดียวกันก็ต้องการให้ใครสักคนมาเข้าใจ เห็นใจ ให้กำลังใจ และชื่นชมยินดี
ชีวิตคู่ จึงจะเปี่ยมไปด้วยความรักความผูกพัน และดำเนินไปอย่างราบรื่น และสุขสม ด้วยมธุรสวาจาและความชื่นชม อย่างจริงใจที่มีต่อกัน ร่วมแรงร่วมใจกันฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ไป
... ด้วยความฉลาดทางอารมณ์ หรือ อีคิว นั่นเอง !!!
การจะมีคู่แท้สักคน... จึงต้องใช้เวลาในการแสวงหาเสมอ
...เพราะคำคำเดียวสั้นๆ ที่เรียกขานว่า "รัก" ไม่ใช่หรือที่ทำให้เราเกิดมาในโลกใบนี้อย่างมีคุณค่า เป็นโซ่ทองคล้องชีวิตคู่ของบุพการีของเราให้ยั่งยืนยาวมาจนทุกวันนี้
...เพราะคำว่า "รัก" ไม่ใช่หรือที่ทำให้มนุษย์เราหยุดการรบราฆ่าฟัน หันมาช่วยเหลือเกื้อกูลกันในยามที่ทุกฝ่ายต้องร่วมแรงร่วมใจฝ่ามหันตภัยทั้งหลาย ไม่ว่าจะเกิดจากธรรมชาติหรือเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ มีคำกล่าวมานานนักหนาแล้วว่า... โลกของเราใบนี้ยังคงหมุนอยู่ได้เพราะพลังที่เกิดจากความรัก และที่ใดที่ปราศจากความรักแล้ว... ความเสื่อมสลายก็จะต้องบังเกิดขึ้น
มีคนกล่าวว่า "รักแท้" เมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมจะดับได้ยาก และมีแต่จะเพิ่มพูนความรักให้แน่นแฟ้น ยืนยงต่อไปเรื่อยๆ ตราบนานเท่านาน เป็น...ปรัชญาของความรักในอดีต ซึ่งน่าจะดำรงคงอยู่ และถ้าจะสูญหายไปบ้าง ก็น่าจะหวนกลับมาจรรโลงสังคมและโลกของเราใบนี้ให้น่าอยู่ยิ่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ปีเก่าผ่านไป...ปีใหม่ที่ผ่านมานี้ เราได้เห็นความทุกข์ยากลำบาก การพลัดพรากจากผู้เป็นที่รัก จากภัยของธรรมชาติที่มาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ...ขณะเดียวกัน เราก็ได้เห็นน้ำใจของผู้คนที่หยิบยื่นความช่วยเหลือแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากเหล่านั้น ด้วยความรัก แบ่งปันน้ำใจ แบ่งปันทรัพย์สินที่มีอยู่ แบ่งปันเวลา แรงกายแรงใจ เพื่อที่จะซับน้ำตาแห่งความทุกข์ของพวกเขาให้บรรเทาเบาบางลงบ้าง... แม้จะเพียงน้อยนิด พลังแห่งน้ำใจเหล่านั้นแหละ ...เป็นพลังของความรัก และพลังของความรักนั้น มักจะเกิดขึ้นในสภาวะแห่งความทุกข์เสมอ ในสภาวการณ์ดังกล่าวทุกคนจะร่วมแรงร่วมใจให้ความรักความสมัครสมานสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกัน ลืมความบาดหมาง ความคับข้องใจกันและกัน ให้อภัยกัน...เสมอ เพราะมักจะมีคำกล่าวว่า ความรัก...คือการให้อภัย การให้อภัยนั้น อาจจะเป็นบริบทแรกของความรัก... และบริบทสุดท้ายของความรักก็ได้ ใครจะรู้ แม้ว่าในยุคนี้ คนเราจะแล้งน้ำใจ...และเห็นแก่ตัวกันมากขึ้นทกขณะ แต่คนที่ยังคงมีความรักและรู้จักการให้อภัย...จะมีความสุขในบั้นปลายชีวิตเสมอๆ ...และแม้ว่า ความรักจะไม่ค่อยยืนยงเท่าไร ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงในยุคกระแสแห่งการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ในยุคที่ต้องเอาตัวรอดจากสภาพเศรษฐกิจสังคมที่เปลี่ยนไป จนยากที่จะก้าวตามทันการเปลี่ยนแปลง ถ้าไม่รู้จักการปรับตัวให้เข้ากับสังคมยุคใหม่
การจะมีคู่แท้สักคน... จึงต้องใช้เวลาในการแสวงหาเสมอ!! และจำไว้ว่า ถ้าพบแล้วอย่าปล่อยให้ผ่านไป... เพราะอาจจะไม่มีผ่านมาใหม่อีก คู่ของคนเรานั้น มีทั้งคู่กรรม...และคู่บุญ และบางคนก็เป็นทั้งคู่บุญคู่กรรมด้วยกัน วัฏจักรของคู่ที่เวียนว่ายตายเกิดมาในชีวิตของคนเรานั้น มักจะมีคู่บุญและคู่กรรมสลับกัน เหมือนที่เขาว่าไว้ว่า ชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหนนั่นแหละ ใครที่กำลังทุกข์อยู่ก็ขอให้รู้ว่า เมื่อเกิดความทุกข์ถึงที่สุดแล้ว ในท้ายที่สุดถ้ายังคงมีกำลังใจที่จะดำรงคงอยู่ ความสุขก็จะกลับมาเป็นรางวัลชีวิต หลายต่อหลายคนเศร้าโศก... เมื่อคนรักคู่ครองที่อยู่กันมานานจะต้องจากไป ถ้าหัดคิดบ้างว่า... คู่กรรมกำลังจะจากไปแล้ว คู่บุญกำลังจะมา ความสุขในชีวิตก็จะบังเกิด พลังอำนาจของความคิดในทางบวกนั้น เป็นพลังอำนาจที่ปฏิเสธไม่ได้ และมักจะเป็นจริงตามที่คิดเสมอๆ แม้ว่าบางครั้งอาจจะต้องรอนานจนเกือบจะรอไม่ได้ก็ตาม ...สวรรค์ไม่ทำร้ายคนที่คิดดี ทำดี ตลอดไปหรอก!! ในท้ายที่สุด บุญกุศล และความดีที่ทำก็จะสามารถเอาชนะความทุกข์ภายในใจได้ และเมื่อนั้น ความรักก็จะหวนกลับมาใหม่ ส่วนใครที่อยู่ครองชีวิตกับคนที่คิดว่า เป็นคู่บุญ ก็ควรจะร่วมกันทำบุญกุศลร่วมกันเป็นประจำ เพื่อที่คู่บุญจะได้ไม่จากไป... และคู่กรรมที่จะนำความทุกข์ยากจะไม่กลับมา เคยอ่านหนังสือที่มีชื่อว่า...เราจะข้ามเวลามาพบกัน ซึ่งเรื่องราวกล่าวว่า คนเรานั้นอาจมีอยู่หลายชาติภพ ถ้าเชื่อในเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด ทีนี้ในแต่ละชาติภพนั้น ก็น่าจะมีเนื้อคู่อยู่อย่างน้อย 1 คน ไม่ว่าจะเป็นคู่บุญ หรือคู่กรรมก็ตาม ...บางคู่ ก็ทำบุญร่วมกันขอตามมาเกิด ในชาติภพต่อไปเพื่อที่จะรับผลบุญที่กระทำร่วมกัน ...บางคู่ก็ทำกรรมร่วมกันมา ก็อาจจะอาฆาต พยาบาทตามมาทำลายล้างกันในชาตินี้ แล้วแต่จะตั้งจิตอธิษฐานในทางที่ดี...หรือทางที่ร้าย และในบางชาติภพที่เนื้อคู่ ไม่ว่า คู่บุญ หรือคู่กรรม ตามมาพบกันมากกว่า 1 คนในชาติภพนั้น เรื่องราวความรัก ความหวัง ความผิดหวัง ความพลัดพราก...และอะไรต่อมิอะไรที่อยากให้เกิด และไม่อยากให้เกิดก็อาจจะเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ ซึ่งนอกเหนืออำนาจของมนุษย์ตัวเล็กๆ ที่จะไปจัดการได้
...ต้องปล่อยให้เป็นไปตามวัฏจักร ตามธรรมชาติของความรักความหลงของมวลมนุษยชาติ ได้แต่แนะนำให้ตั้งสติเอาไว้ เวลาที่คู่กรรมจะจากไป...ให้เขาหรือเธอไปพบกับคู่กรรมของพวกเขา จะได้ไม่กลับมาทำความทุกข์ยากลำบากใจให้กับเราอีกต่อไป
...และภาวนาขอให้คู่บุญของตัวเรา จงรีบมาแสดงตัว นั่นเป็นแนวคิดที่ควรคิด...ในเวลาแห่งการพลัดพราก ว่าก่อนอื่นมีคนคนหนึ่งที่รอความรักอยู่เสมอ และคนคนนั้นก็คือ ตัวของเราเอง ในเมื่อตัวของเราเกิดจากความรักของพ่อแม่ ซึ่งได้ให้กำเนิดเรามา เราจึงต้องรักษาตัวของเรา ซึ่งเป็นที่รักของพ่อแม่ เอาไว้ทดแทนคุณของบิดามารดา ก่อนที่จะจากโลกนี้ไปอย่างสงบสุข เหมือนที่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ของโรงเรียนแห่งหนึ่ง ฝากกลอนเอาไว้ให้ช่วยเขียนเตือนสติของผู้ที่จะมีความรักทั้งหลายว่า...
...เพราะคำว่า "รัก" ไม่ใช่หรือที่ทำให้มนุษย์เราหยุดการรบราฆ่าฟัน หันมาช่วยเหลือเกื้อกูลกันในยามที่ทุกฝ่ายต้องร่วมแรงร่วมใจฝ่ามหันตภัยทั้งหลาย ไม่ว่าจะเกิดจากธรรมชาติหรือเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ มีคำกล่าวมานานนักหนาแล้วว่า... โลกของเราใบนี้ยังคงหมุนอยู่ได้เพราะพลังที่เกิดจากความรัก และที่ใดที่ปราศจากความรักแล้ว... ความเสื่อมสลายก็จะต้องบังเกิดขึ้น
มีคนกล่าวว่า "รักแท้" เมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมจะดับได้ยาก และมีแต่จะเพิ่มพูนความรักให้แน่นแฟ้น ยืนยงต่อไปเรื่อยๆ ตราบนานเท่านาน เป็น...ปรัชญาของความรักในอดีต ซึ่งน่าจะดำรงคงอยู่ และถ้าจะสูญหายไปบ้าง ก็น่าจะหวนกลับมาจรรโลงสังคมและโลกของเราใบนี้ให้น่าอยู่ยิ่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ปีเก่าผ่านไป...ปีใหม่ที่ผ่านมานี้ เราได้เห็นความทุกข์ยากลำบาก การพลัดพรากจากผู้เป็นที่รัก จากภัยของธรรมชาติที่มาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ...ขณะเดียวกัน เราก็ได้เห็นน้ำใจของผู้คนที่หยิบยื่นความช่วยเหลือแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากเหล่านั้น ด้วยความรัก แบ่งปันน้ำใจ แบ่งปันทรัพย์สินที่มีอยู่ แบ่งปันเวลา แรงกายแรงใจ เพื่อที่จะซับน้ำตาแห่งความทุกข์ของพวกเขาให้บรรเทาเบาบางลงบ้าง... แม้จะเพียงน้อยนิด พลังแห่งน้ำใจเหล่านั้นแหละ ...เป็นพลังของความรัก และพลังของความรักนั้น มักจะเกิดขึ้นในสภาวะแห่งความทุกข์เสมอ ในสภาวการณ์ดังกล่าวทุกคนจะร่วมแรงร่วมใจให้ความรักความสมัครสมานสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกัน ลืมความบาดหมาง ความคับข้องใจกันและกัน ให้อภัยกัน...เสมอ เพราะมักจะมีคำกล่าวว่า ความรัก...คือการให้อภัย การให้อภัยนั้น อาจจะเป็นบริบทแรกของความรัก... และบริบทสุดท้ายของความรักก็ได้ ใครจะรู้ แม้ว่าในยุคนี้ คนเราจะแล้งน้ำใจ...และเห็นแก่ตัวกันมากขึ้นทกขณะ แต่คนที่ยังคงมีความรักและรู้จักการให้อภัย...จะมีความสุขในบั้นปลายชีวิตเสมอๆ ...และแม้ว่า ความรักจะไม่ค่อยยืนยงเท่าไร ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงในยุคกระแสแห่งการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ในยุคที่ต้องเอาตัวรอดจากสภาพเศรษฐกิจสังคมที่เปลี่ยนไป จนยากที่จะก้าวตามทันการเปลี่ยนแปลง ถ้าไม่รู้จักการปรับตัวให้เข้ากับสังคมยุคใหม่
การจะมีคู่แท้สักคน... จึงต้องใช้เวลาในการแสวงหาเสมอ!! และจำไว้ว่า ถ้าพบแล้วอย่าปล่อยให้ผ่านไป... เพราะอาจจะไม่มีผ่านมาใหม่อีก คู่ของคนเรานั้น มีทั้งคู่กรรม...และคู่บุญ และบางคนก็เป็นทั้งคู่บุญคู่กรรมด้วยกัน วัฏจักรของคู่ที่เวียนว่ายตายเกิดมาในชีวิตของคนเรานั้น มักจะมีคู่บุญและคู่กรรมสลับกัน เหมือนที่เขาว่าไว้ว่า ชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหนนั่นแหละ ใครที่กำลังทุกข์อยู่ก็ขอให้รู้ว่า เมื่อเกิดความทุกข์ถึงที่สุดแล้ว ในท้ายที่สุดถ้ายังคงมีกำลังใจที่จะดำรงคงอยู่ ความสุขก็จะกลับมาเป็นรางวัลชีวิต หลายต่อหลายคนเศร้าโศก... เมื่อคนรักคู่ครองที่อยู่กันมานานจะต้องจากไป ถ้าหัดคิดบ้างว่า... คู่กรรมกำลังจะจากไปแล้ว คู่บุญกำลังจะมา ความสุขในชีวิตก็จะบังเกิด พลังอำนาจของความคิดในทางบวกนั้น เป็นพลังอำนาจที่ปฏิเสธไม่ได้ และมักจะเป็นจริงตามที่คิดเสมอๆ แม้ว่าบางครั้งอาจจะต้องรอนานจนเกือบจะรอไม่ได้ก็ตาม ...สวรรค์ไม่ทำร้ายคนที่คิดดี ทำดี ตลอดไปหรอก!! ในท้ายที่สุด บุญกุศล และความดีที่ทำก็จะสามารถเอาชนะความทุกข์ภายในใจได้ และเมื่อนั้น ความรักก็จะหวนกลับมาใหม่ ส่วนใครที่อยู่ครองชีวิตกับคนที่คิดว่า เป็นคู่บุญ ก็ควรจะร่วมกันทำบุญกุศลร่วมกันเป็นประจำ เพื่อที่คู่บุญจะได้ไม่จากไป... และคู่กรรมที่จะนำความทุกข์ยากจะไม่กลับมา เคยอ่านหนังสือที่มีชื่อว่า...เราจะข้ามเวลามาพบกัน ซึ่งเรื่องราวกล่าวว่า คนเรานั้นอาจมีอยู่หลายชาติภพ ถ้าเชื่อในเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด ทีนี้ในแต่ละชาติภพนั้น ก็น่าจะมีเนื้อคู่อยู่อย่างน้อย 1 คน ไม่ว่าจะเป็นคู่บุญ หรือคู่กรรมก็ตาม ...บางคู่ ก็ทำบุญร่วมกันขอตามมาเกิด ในชาติภพต่อไปเพื่อที่จะรับผลบุญที่กระทำร่วมกัน ...บางคู่ก็ทำกรรมร่วมกันมา ก็อาจจะอาฆาต พยาบาทตามมาทำลายล้างกันในชาตินี้ แล้วแต่จะตั้งจิตอธิษฐานในทางที่ดี...หรือทางที่ร้าย และในบางชาติภพที่เนื้อคู่ ไม่ว่า คู่บุญ หรือคู่กรรม ตามมาพบกันมากกว่า 1 คนในชาติภพนั้น เรื่องราวความรัก ความหวัง ความผิดหวัง ความพลัดพราก...และอะไรต่อมิอะไรที่อยากให้เกิด และไม่อยากให้เกิดก็อาจจะเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ ซึ่งนอกเหนืออำนาจของมนุษย์ตัวเล็กๆ ที่จะไปจัดการได้
...ต้องปล่อยให้เป็นไปตามวัฏจักร ตามธรรมชาติของความรักความหลงของมวลมนุษยชาติ ได้แต่แนะนำให้ตั้งสติเอาไว้ เวลาที่คู่กรรมจะจากไป...ให้เขาหรือเธอไปพบกับคู่กรรมของพวกเขา จะได้ไม่กลับมาทำความทุกข์ยากลำบากใจให้กับเราอีกต่อไป
...และภาวนาขอให้คู่บุญของตัวเรา จงรีบมาแสดงตัว นั่นเป็นแนวคิดที่ควรคิด...ในเวลาแห่งการพลัดพราก ว่าก่อนอื่นมีคนคนหนึ่งที่รอความรักอยู่เสมอ และคนคนนั้นก็คือ ตัวของเราเอง ในเมื่อตัวของเราเกิดจากความรักของพ่อแม่ ซึ่งได้ให้กำเนิดเรามา เราจึงต้องรักษาตัวของเรา ซึ่งเป็นที่รักของพ่อแม่ เอาไว้ทดแทนคุณของบิดามารดา ก่อนที่จะจากโลกนี้ไปอย่างสงบสุข เหมือนที่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ของโรงเรียนแห่งหนึ่ง ฝากกลอนเอาไว้ให้ช่วยเขียนเตือนสติของผู้ที่จะมีความรักทั้งหลายว่า...
หากรักใคร ขอให้รัก เพียงแค่ครึ่ง
อีกครึ่งหนึ่ง ของหัวใจ เก็บไว้ฝัน
หากวันใด ถูกสลัด ตัดสัมพันธ์
เอาครึ่งนั้น มาทดแทน แทนที่ใจ
อีกครึ่งหนึ่ง ของหัวใจ เก็บไว้ฝัน
หากวันใด ถูกสลัด ตัดสัมพันธ์
เอาครึ่งนั้น มาทดแทน แทนที่ใจ
การแข่งขัน กับ การพักผ่อน
ยุคนี้คำว่า การแข่งขัน กำลังขึ้นสมอง ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องบอกว่า ต้องพร้อมสำหรับการแข่งขัน นี่อาจจะเว้นเฉพาะคนที่มีอาชีพเป็น ศิลปิน บริสุทธิ์ แบบ คุณถวัลย์ ดัชนี ที่ขายตัวเองได้ด้วยความยิ่งใหญ่บารมี ไม่ต้องรอให้อากู๋โปรโมตแบบศิลปินแกรมมี่
แต่หากเป็นคนธรรมดา ไม่ว่าจะทำอะไร ก็มักจะต้องแข่งขันอยู่ดี บางคนแข่งแบบไม่ลืมหูลืมตา จนป่วยไปเลยก็มี หรือไม่ก็แข่งจนเหนื่อยตายไปก็มี เพราะว่าลืมพักผ่อน
ฝรั่งให้ความสำคัญกับการพักผ่อนอย่างมีวินัย เห็นได้จากการที่ผู้บริหารฝรั่งมีการลาหยุดกันได้เป็นเดือนๆ และเขาก็ใช้มันอย่างจริงจัง หายไปจากสำนักงานไปพักผ่อนกันจริงๆ
ตอนนี้เป็นยุคสื่อสารไร้พรมแดน มีการทำการศึกษาเรื่องการพักผ่อน ว่าการที่คนมีวิถีชีวิตเปลี่ยนไปโดยมีเครื่องมือสื่อสารและอำนวยความสะดวกมากขึ้นนั้น ได้พักผ่อนมากขึ้นกว่าแต่ก่อนไหม
พูดถึงเรื่องนี้ก็แวบไปถึงเมื่อวันก่อนแวะเยี่ยมเพื่อน เธอเพิ่งซื้อเครื่องล้างจานมา หลังจากรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน จะช่วยเธอล้างถ้วยล้างจาน เธอก็บอกเอาไว้นั่น เดี๋ยวให้เครื่องมันจัดการ แล้วเราก็มานั่งคุยกันต่อ
คนอเมริกันเขาช่างทำการศึกษาทุกๆ เรื่องเอาไว้ ขณะนี้มีนักเศรษฐศาสตร์อเมริกันสองคนทำวิจัยเรื่องการพักผ่อนของคนอเมริกันในยุคปัจจุบัน ผลสรุปออกมาว่าคนอเมริกันพักผ่อนมากขึ้น
นักเศรษฐศาสตร์สองคนนี้คนหนึ่งทำงานอยู่ที่เฟด หรือ Federal Reserve Bank at Boston ซึ่งเป็นงานแบบเดียวกับที่ อลัน กรีนสแปน ทำ เพียงแต่อันนี้อยู่ที่บอสตัน อีกคนอยู่ที่ University of Chicago"s Graduate School of Business ซึ่งเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงทั้งคู่
วิธีทำวิจัยคล้ายกับที่บ้านเรามีการวิจัยตลาดกัน คือให้กลุ่มเป้าหมายเขียนไดอารี การวิจัยด้วยการเก็บข้อมูลจากไดอารีนี้มีมานานและเป็นที่นิยมกัน เขาให้กลุ่มเป้าหมายซึ่งในกรณีนี้ไม่ได้รวมพวกหลังเกษียณไว้บันทึกว่าตลอดวันทำอะไร ไม่ใช่แค่ที่ที่ทำงานแต่หลังและก่อนเข้าทำงานด้วย (ตอนหลับคงไม่ต้องบันทึกว่าฝันว่าอะไร มากไป)
แล้วเขาก็แบ่งวิธีวัดการพักผ่อนออกเป็น 4 แบบ อันที่ตีวงแคบที่สุดรวมถึงกิจกรรมอะไรก็ตามที่คนถือว่าเป็นการผ่อนคลายหรือสนุกสนาน ส่วนอันที่กว้างออกไปก็หมายถึงอะไรก็ตามที่ทำแล้วไม่ได้รับค่าจ้าง งานบ้าน หรือการวิ่งออกไปทำธุระ
เขาบอกว่าสี่สิบปีที่ผ่านมานี่คนอเมริกันพักผ่อนมากขึ้น 4-8 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ถ้าหากเทียบจากว่าทำงานกันอาทิตย์ละ 40 ชั่วโมง ก็เท่ากับได้เวลาพักมากขึ้นถึง 5-10 สัปดาห์ต่อปี
ที่น่าสนใจก็คือคนอเมริกันทั้งเพศหญิงและชาย ทั้งการศึกษาสูงและน้อย แต่งงานหรือเป็นโสด มีลูกหรือไม่มี ต่างพักผ่อนมากขึ้นทั้งนั้น และที่แปลกก็คือคนที่การศึกษาน้อยแต่มีงานทำพักผ่อนดีกว่าคนที่รวยและมีงานดีๆ
ข้อสังเกตอีกอันหนึ่งก็คือเมื่อเปรียบเทียบคนอเมริกันกับคนยุโรปในประเทศที่ร่ำรวย คนอเมริกันก็ยังทำงานในสำนักงานยาวนานกว่าคนยุโรป เพราะว่าตัวเลขชั่วโมงทำงานของคนยุโรปลดลงนั่นเอง
ทีนี้ต้องหันมาดูว่าทำไมท่านนักวิจัยทั้งสองจึงร่วมสรุปกันสรุปว่าคนอเมริกันพักผ่อนมากขึ้น อันนี้มันขึ้นอยู่กับคำจำกัดความของทั้งสองคนว่าอะไรที่เป็นการทำงาน อะไรที่เป็นการพักผ่อน และข้อมูลที่ได้มาเป็นแบบไหน
ทั้งสองบอกว่าการเก็บข้อมูลของทางราชการซึ่งเก็บจากเฉพาะที่ทำงานนั้นไม่ถูกต้อง อันนั้นเหมาะกับยุคที่คนทำงานกันในโรงงานอุตสาหกรรมและสำนักงานล้วนๆ เดี๋ยวนี้คนทำงานที่บ้านก็มี ทำงานอิสระก็มี แล้วเขาก็ถือว่าการจับจ่ายซื้อของ การเตรียมอาหารให้ตัวเองและครอบครัว ออกไปทำธุระ และทำงานบ้าน พวกนี้ก็คืองานเหมือนกัน งานพวกนี้แหละหนักเท่ากับงานสำนักงานเลยทีเดียว โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงที่ต้องดูแลลูกด้วยทำงานนอกบ้านด้วย หนักหยอกใคร ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ชายไทยส่วนใหญ่จะเห็นว่างานบ้านนั่นก็งานนะคะ
ญาติของผู้เขียนคนหนึ่งมีลูกสองคน เธอชอบมาทำงานที่บริษัทมาก เพราะเห็นว่างานบริษัทสบายกว่าการเลี้ยงดูลูกสองคนที่บ้าน ส่วนผู้เขียนนั้นก็เห็นว่างานที่บริษัทหนักมาก แต่งานบ้านเป็นเรื่องเบาและสนุก ไม่ว่าจะเป็นซักผ้า ทำกับข้าว จัดบ้าน รดน้ำต้นไม้ หรือแม้กระทั่งหาเห็บให้สุนัข งานพวกนี้ถ้าในสายตาของนักวิจัยทั้งสองก็คงเป็นงานเหมือนกันนะคะ
ในงานวิจัยชิ้นนี้ เขาบอกว่าคนอเมริกันทำงานน้อยลง ไม่ว่าจะเป็นงานที่ได้เงินหรืองานบ้าน ทั้งนี้เพราะมีเครื่องอำนวยความสะดวกมากขึ้น มีเดลิเวอรี่มากขึ้น มีบริการอื่นๆ สำหรับชีวิตมากขึ้น เช่น ออนไลน์ช็อปปิ้ง ถ้าในเวอร์ชั่นไทยก็คงบอกว่า มีอาหารสำเร็จรูปขายตามหัวมุมถนนต่างๆ (สกปรก แต่สะดวก ทำไงได้) มากขึ้น อาหารถุงพลาสติค อาหารกล่อง แม้แต่โอเลี้ยงกาแฟเย็นถุงพลาสติค ยังพัฒนาเป็นแก้วพลาสติค บางรถเข็นยังสิบบาทเท่าเดิม
แม่บ้านทั้งหลายก็ไปทำงานหาเงินได้มากขึ้น
การเก็บข้อมูลด้วยไดอะรี่แบบนี้ไม่เฉพาะแต่อเมริกาที่ทำ แต่ออสเตรเลีย และประเทศในยุโรปหลายประเทศก็ทำกัน สำนักงานสถิติแห่งชาติของไทยจะทำไหมคะ ก่อนทำก็ต้องล้างสมองคนไทยก่อนนะคะว่าต้องบันทึกอย่างซื่อตรง ไม่ใช่ผักชีโรยหน้า หรือแต่งข้อมุลเพื่อให้ตัวเองดูดี ถึงจะเอาไปใช้ได้จริง
ถามว่าคนอเมริกันคิดยังไงกับผลวิจัยอันนี้ ถ้าคนที่รายได้น้อยหน่อยอาจจะบอกว่า เอ เห็นท่าเราจะต้องทำงานมากขึ้น แต่สำหรับคนอเมริกันส่วนใหญ่ดูเหมือนว่าจะพอใจที่ได้พักผ่อนมากขึ้น
และที่สำคัญมันหมายถึงว่าการทำงานน้อยลงแต่รายได้ไม่ได้ลดลงนั้นคือ เวลาของเขามี (มูล) ค่ามากขึ้นนั่นเอง
แต่หากเป็นคนธรรมดา ไม่ว่าจะทำอะไร ก็มักจะต้องแข่งขันอยู่ดี บางคนแข่งแบบไม่ลืมหูลืมตา จนป่วยไปเลยก็มี หรือไม่ก็แข่งจนเหนื่อยตายไปก็มี เพราะว่าลืมพักผ่อน
ฝรั่งให้ความสำคัญกับการพักผ่อนอย่างมีวินัย เห็นได้จากการที่ผู้บริหารฝรั่งมีการลาหยุดกันได้เป็นเดือนๆ และเขาก็ใช้มันอย่างจริงจัง หายไปจากสำนักงานไปพักผ่อนกันจริงๆ
ตอนนี้เป็นยุคสื่อสารไร้พรมแดน มีการทำการศึกษาเรื่องการพักผ่อน ว่าการที่คนมีวิถีชีวิตเปลี่ยนไปโดยมีเครื่องมือสื่อสารและอำนวยความสะดวกมากขึ้นนั้น ได้พักผ่อนมากขึ้นกว่าแต่ก่อนไหม
พูดถึงเรื่องนี้ก็แวบไปถึงเมื่อวันก่อนแวะเยี่ยมเพื่อน เธอเพิ่งซื้อเครื่องล้างจานมา หลังจากรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน จะช่วยเธอล้างถ้วยล้างจาน เธอก็บอกเอาไว้นั่น เดี๋ยวให้เครื่องมันจัดการ แล้วเราก็มานั่งคุยกันต่อ
คนอเมริกันเขาช่างทำการศึกษาทุกๆ เรื่องเอาไว้ ขณะนี้มีนักเศรษฐศาสตร์อเมริกันสองคนทำวิจัยเรื่องการพักผ่อนของคนอเมริกันในยุคปัจจุบัน ผลสรุปออกมาว่าคนอเมริกันพักผ่อนมากขึ้น
นักเศรษฐศาสตร์สองคนนี้คนหนึ่งทำงานอยู่ที่เฟด หรือ Federal Reserve Bank at Boston ซึ่งเป็นงานแบบเดียวกับที่ อลัน กรีนสแปน ทำ เพียงแต่อันนี้อยู่ที่บอสตัน อีกคนอยู่ที่ University of Chicago"s Graduate School of Business ซึ่งเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงทั้งคู่
วิธีทำวิจัยคล้ายกับที่บ้านเรามีการวิจัยตลาดกัน คือให้กลุ่มเป้าหมายเขียนไดอารี การวิจัยด้วยการเก็บข้อมูลจากไดอารีนี้มีมานานและเป็นที่นิยมกัน เขาให้กลุ่มเป้าหมายซึ่งในกรณีนี้ไม่ได้รวมพวกหลังเกษียณไว้บันทึกว่าตลอดวันทำอะไร ไม่ใช่แค่ที่ที่ทำงานแต่หลังและก่อนเข้าทำงานด้วย (ตอนหลับคงไม่ต้องบันทึกว่าฝันว่าอะไร มากไป)
แล้วเขาก็แบ่งวิธีวัดการพักผ่อนออกเป็น 4 แบบ อันที่ตีวงแคบที่สุดรวมถึงกิจกรรมอะไรก็ตามที่คนถือว่าเป็นการผ่อนคลายหรือสนุกสนาน ส่วนอันที่กว้างออกไปก็หมายถึงอะไรก็ตามที่ทำแล้วไม่ได้รับค่าจ้าง งานบ้าน หรือการวิ่งออกไปทำธุระ
เขาบอกว่าสี่สิบปีที่ผ่านมานี่คนอเมริกันพักผ่อนมากขึ้น 4-8 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ถ้าหากเทียบจากว่าทำงานกันอาทิตย์ละ 40 ชั่วโมง ก็เท่ากับได้เวลาพักมากขึ้นถึง 5-10 สัปดาห์ต่อปี
ที่น่าสนใจก็คือคนอเมริกันทั้งเพศหญิงและชาย ทั้งการศึกษาสูงและน้อย แต่งงานหรือเป็นโสด มีลูกหรือไม่มี ต่างพักผ่อนมากขึ้นทั้งนั้น และที่แปลกก็คือคนที่การศึกษาน้อยแต่มีงานทำพักผ่อนดีกว่าคนที่รวยและมีงานดีๆ
ข้อสังเกตอีกอันหนึ่งก็คือเมื่อเปรียบเทียบคนอเมริกันกับคนยุโรปในประเทศที่ร่ำรวย คนอเมริกันก็ยังทำงานในสำนักงานยาวนานกว่าคนยุโรป เพราะว่าตัวเลขชั่วโมงทำงานของคนยุโรปลดลงนั่นเอง
ทีนี้ต้องหันมาดูว่าทำไมท่านนักวิจัยทั้งสองจึงร่วมสรุปกันสรุปว่าคนอเมริกันพักผ่อนมากขึ้น อันนี้มันขึ้นอยู่กับคำจำกัดความของทั้งสองคนว่าอะไรที่เป็นการทำงาน อะไรที่เป็นการพักผ่อน และข้อมูลที่ได้มาเป็นแบบไหน
ทั้งสองบอกว่าการเก็บข้อมูลของทางราชการซึ่งเก็บจากเฉพาะที่ทำงานนั้นไม่ถูกต้อง อันนั้นเหมาะกับยุคที่คนทำงานกันในโรงงานอุตสาหกรรมและสำนักงานล้วนๆ เดี๋ยวนี้คนทำงานที่บ้านก็มี ทำงานอิสระก็มี แล้วเขาก็ถือว่าการจับจ่ายซื้อของ การเตรียมอาหารให้ตัวเองและครอบครัว ออกไปทำธุระ และทำงานบ้าน พวกนี้ก็คืองานเหมือนกัน งานพวกนี้แหละหนักเท่ากับงานสำนักงานเลยทีเดียว โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงที่ต้องดูแลลูกด้วยทำงานนอกบ้านด้วย หนักหยอกใคร ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ชายไทยส่วนใหญ่จะเห็นว่างานบ้านนั่นก็งานนะคะ
ญาติของผู้เขียนคนหนึ่งมีลูกสองคน เธอชอบมาทำงานที่บริษัทมาก เพราะเห็นว่างานบริษัทสบายกว่าการเลี้ยงดูลูกสองคนที่บ้าน ส่วนผู้เขียนนั้นก็เห็นว่างานที่บริษัทหนักมาก แต่งานบ้านเป็นเรื่องเบาและสนุก ไม่ว่าจะเป็นซักผ้า ทำกับข้าว จัดบ้าน รดน้ำต้นไม้ หรือแม้กระทั่งหาเห็บให้สุนัข งานพวกนี้ถ้าในสายตาของนักวิจัยทั้งสองก็คงเป็นงานเหมือนกันนะคะ
ในงานวิจัยชิ้นนี้ เขาบอกว่าคนอเมริกันทำงานน้อยลง ไม่ว่าจะเป็นงานที่ได้เงินหรืองานบ้าน ทั้งนี้เพราะมีเครื่องอำนวยความสะดวกมากขึ้น มีเดลิเวอรี่มากขึ้น มีบริการอื่นๆ สำหรับชีวิตมากขึ้น เช่น ออนไลน์ช็อปปิ้ง ถ้าในเวอร์ชั่นไทยก็คงบอกว่า มีอาหารสำเร็จรูปขายตามหัวมุมถนนต่างๆ (สกปรก แต่สะดวก ทำไงได้) มากขึ้น อาหารถุงพลาสติค อาหารกล่อง แม้แต่โอเลี้ยงกาแฟเย็นถุงพลาสติค ยังพัฒนาเป็นแก้วพลาสติค บางรถเข็นยังสิบบาทเท่าเดิม
แม่บ้านทั้งหลายก็ไปทำงานหาเงินได้มากขึ้น
การเก็บข้อมูลด้วยไดอะรี่แบบนี้ไม่เฉพาะแต่อเมริกาที่ทำ แต่ออสเตรเลีย และประเทศในยุโรปหลายประเทศก็ทำกัน สำนักงานสถิติแห่งชาติของไทยจะทำไหมคะ ก่อนทำก็ต้องล้างสมองคนไทยก่อนนะคะว่าต้องบันทึกอย่างซื่อตรง ไม่ใช่ผักชีโรยหน้า หรือแต่งข้อมุลเพื่อให้ตัวเองดูดี ถึงจะเอาไปใช้ได้จริง
ถามว่าคนอเมริกันคิดยังไงกับผลวิจัยอันนี้ ถ้าคนที่รายได้น้อยหน่อยอาจจะบอกว่า เอ เห็นท่าเราจะต้องทำงานมากขึ้น แต่สำหรับคนอเมริกันส่วนใหญ่ดูเหมือนว่าจะพอใจที่ได้พักผ่อนมากขึ้น
และที่สำคัญมันหมายถึงว่าการทำงานน้อยลงแต่รายได้ไม่ได้ลดลงนั้นคือ เวลาของเขามี (มูล) ค่ามากขึ้นนั่นเอง
กลุ่มจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis)
ผู้นำคนสำคัญคือ ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) จิตแพทย์ชาวเวียนนา ได้ศึกษาวิเคราะห์จิต ของมนุษย์ และอธิบายว่า พลังงานจิตทำหน้าที่ควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ มี 3 ลักษณะ คือ
ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud)
นอกจากนี้ ฟรอยด์ ยังได้ศึกษาถึงโครงสร้างทางจิตพบว่าโครงสร้างทางจิตประกอบด้วย
1. อิด (Id)
2. อีโก้ (Ego)
3. ซุปเปอร์อีโก้ (Superrgo)
ฟรอยด์ กล่าวว่าในบุคคลทั่วไปมักมีโครงสร้างทั้ง 3 ส่วนนี้แต่ส่วนที่แข็งแรงที่สุด มักเป็นอีโก้ ซึ่งทำหน้าที่คอย ประนีประนอมระหว่างอิดและซุปเปอร์อีโก้ให้แสดงออกตามความ เหมาะสมของสถานการณ์ ในขณะนั้น เช่น คอยกดอิดมิ ให้แสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมออกมา เมื่อยังไม่ถึงเวลาหรือคอยดึงซุปเปอร์ อีโก้ไว้มิให้แสดงพฤติกรรมที่ดีงามจนเกินไป จนตนเอง เดือดร้อน ถ้าคนที่มีจิตผิดปรกติ เช่นเป็นโรคจิต โรคประสาท คือคนที่อีโก้แตก (Break down) ไม่สามารถคุม อิดและซุปเปอร์อีโก้ไว้ได้ มักจะมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับกาละเทศะกับเหตุผล เช่น เกิดอาการคุ้มดีคุ้มร้าย คุ้มดีคือส่วนของซุปเปอร์ อีโก้แสดงออกมา คุ้มร้ายคือส่วนของอิดแสดงออกมา ฯลฯ
ดร. อารี รังสินันท์ (2530 : 15 - 16) กล่าวว่าโครงสร้างจิต 3 ระบบนี้มีส่วนสัมพันธ์กัน ถ้าทำงาน สัมพันธ์กันดีการแสดงออกหรือบุคลิกภาพก็เหมาะสมกับตน แต่ถ้าโครงสร้างทั้ง 3 ระบบ ทำหน้าที่ขัดแย้งกัน บุคคลก็จะมีพฤติกรรมหรือ บุคลิกภาพที่ไม่ราบรื่นปกติ หรือไม่เหมาะสม แนวความคิดกลุ่มนี้เน้น จิตไร้สำนึก (Unconscious mind) จิตไร้สำนึกนี้จะ รวบรวมความคิด ความต้องการ และประสบการณ์ที่ผู้เป็นเจ้าของ จิตไม่ต้องการจะจดจำ จึงเก็บกดความรู้สึกต่าง ๆ เหล่านี้ไว้อยู่ในจิตส่วนนี้ และหากความคิด ความต้องการหรือ เกิดพฤติกรรมบางอย่างโดยไม่รู้ตัว
อนึ่ง ประสบการณ์ในชีวิตวัยเด็ก โดยเฉพาะช่วงแรกเกิดถึง 5 ขวบที่เกี่ยวกับการอบรม เลี้ยงดู ที่ได้รับ จะฝังแน่น อยู่ในจิตไร้สำนึก และอาจจะแสดงออกเมื่อถูกกระตุ้น โดยเฉพาะในวัยผู้ใหญ่
ฟรอยด์ บอกว่า จิตไร้สำนึกเป็นสาเหตุให้มนุษย์แสดงพฤติกรรมและพฤติกรรม ที่ฝังแน่นในอดีต เป็นเหตุให้แสดง พฤติกรรมออกมาในปัจจุบันและอนาคต อนึ่ง พฤติกรรม ทั้งหลายที่แสดงออกมานั้น ท้ายที่สุดก็เพื่อตอบสนองความต้อง การทางเพศ (Sexual need) นั่นเอง
ฟรอยด์ เน้นประสบการณ์ชีวิตในวัยเด็กมาก โดยเฉพาะในช่วงชีวิตตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 5 ขวบ ประสบการณ์ต่างๆที่เด็กได้รับในช่วงนี้ โดยเฉพาะสิ่งที่ประทับใจ วิธีการอบรม เลี้ยงดู มักจะฝังแน่นอยู่ ในจิตไร้สำนึก และจะแสดงออกมาเป็น พฤติกรรมในช่วงชีวิต ที่เป็นผู้ใหญ่ต่อมาซึ่งค้านกับความเห็นของนัก จิตวิทยากลุ่มอื่นหรือนักการศึกษา ที่เชื่อว่าไม่มีผู้ใด จดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้ในช่วงชีวิตตั้งแต่ 5 ขวบลงไปจนถึงแรกเกิดได้ แต่ฟรอยด์บอกว่า สิ่งเหล่านี้มิได้หาย ไปไหนแต่กลับฝังลึกลงไป ในส่วนของจิด ที่เรียกว่า จิตไร้สำนึก (กมลรัตน์ หล้าสุวงษ์. 2528 : 36)
พัฒนาการของมนุษย์ 5 ขั้น ของฟรอยด์
ผ.ศ. ดร. อารี รังสินันท์ (2530 : 15 - 16) ได้กล่าวถึงการแบ่งขั้นพัฒนาการของมนุษย์ของฟรอยด์ว่าแบ่งเป็น 5 ขั้น คือ
1. ขั้นปาก (Oral Stage) อายุตั้งแต่แรกเกิด - 2 ขวบ
2. ขั้นทวารหนัก (Anal Stage) อายุ 2 - 3 ขวบ
3. ขั้นอวัยวะเพศ (Phallic Stage) อายุ 3 - 5 ขวบ
4. ขั้นแฝง (Latent Stage) อายุ 6 - 12 ขวบ
5. ขั้นวัยรุ่น (Genital Stage) อายุ 13 - 18 ขวบ
รองศาสตราจารย์ กมลรัตน์ หล้าสุวงษ์ (2528 : 37 - 39) ได้กล่าวถึงการแบ่งพัฒนาการของมนุษย์ของฟรอยด์ว่า ฟรอยด์ได้แบ่งพัฒนาการของมนุษย์ แตกต่างจากนักจิตวิทยาท่านอื่นกล่าวคือ ฟรอยด์ เชื่อว่า มนุษย์มีอวัยวะที่ไวต่อ ความรู้สึกในแต่ละช่วงชีวิตแตกต่างกัน ซึ่งฟรอยด์เรียกว่าอีโรจีนัสโซน (Erogenus zone) จึงได้แบ่งขั้นพัฒนาการตามอวัยวะที่ไวต่อความรู้สึกออกเป็น 5 ขั้น และได้กล่าวถึงแต่ละขั้นไว้ ดังนี้
ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud)
- จิตสำนึกหรือจิตรู้สำนึก (Conscious mind) หมายถึงภาวะจิตที่รู้ตัวอยู่ได้แก่ การแสดงพฤติกรรม เพื่อให้ สอดคล้องกับหลักแห่งความเป็นจริง
- จิตกึ่งสำนึก (Subconscious mind) หมายถึงภาวะจิตที่ระลึกถึงได้ รองศาสตราจารย์ กลมรัตน์ หล้าสุวงษ์ (2528 : 35)ได้กล่าวถึง Subconscious mind ว่าหมายถึงส่วนของจิตใจ ที่มิได้แสดงออกเป็นพฤติกรรม ในขณะนั้น แต่ เป็นส่วนที่รู้ตัว สามารถดึงออกมใช้ได้ทุกเมื่อที่ต้องการ เช่น นางสาว ก. มีน้องสาวคือนางสาว ข. ซึ่งกำลังตกหลุมรัก นาย ค. แต่นางสาว ข. เกรงว่ามารดาจะทราบความจริงจึงบอกพี่สาว มิให้เล่าให้มารดาฟัง นางสาว ก. เก็บเรื่องนี้ไว้เป็น ความลับ มิได้แพร่งพรายให้ผู้ใดทราบโดยเฉพาะมารดาแต่ ในขณะเดียวกันก็ทราบอยู่ตลอดเวลาว่า นางสาว ข. รักนาย ค. ถ้าเขาต้องการเปิดเผย เขาก็จะบอกได้ทันที ลักขณา สริวัฒน์ (2530 : 9) กล่าวถึง Subconscious mind ว่าผลมันเกิด จากการขัดแย้งกันระหว่าง พฤติกรรมภายใต้อิทธิพลจิตรู้สำนึกกับอิทธิพลของ จิตใต้สำนึกย่อมก่อให้เกิดการหลอกลวงตัวเองขึ้น ภายในบุคคล
- จิตไร้สำนึกหรือจิตใต้สำนึก (Unconscious mind) หมายถึงภาวะจิตที่ไม่อยู่ในภาวะที่รู้ตัวระลึกถึงไม่ได้ กมลรัตน์ หล้าสุวงษ์ (2524 : 121) กล่าวว่า จิตไร้สำนึกเป็นสิ่งที่ฝังลึกอยู่ภายในจิตใจ มีการเก็บกด (Repression) เอาไว้อาจเป็นเพราะ ถูกบังคับ หรือไม่สามารถแสดงอาการโต้ตอบได้ในขณะนั้นในที่สุดก็จะฝังแน่นเข้าไป จนเจ้าตัวลืมไปชั่ว ขณะจะแสดงออกมาในลักษณะการพลั้งเผลอ เช่น พลั้งปากเอ่ยชื่อ คนรักเก่าต่อหน้า คนรักใหม่ เป็นต้น
นอกจากนี้ ฟรอยด์ ยังได้ศึกษาถึงโครงสร้างทางจิตพบว่าโครงสร้างทางจิตประกอบด้วย
1. อิด (Id)
2. อีโก้ (Ego)
3. ซุปเปอร์อีโก้ (Superrgo)
- อิด (Id) หมายถึงตัณหาหรือความต้องการพื้นฐานของมนุษย์เป็นสิ่งที่ยังไม่ได้ขัดเกลา ซึ่งทำให้ มนุษย์ทำทุกอย่างเพื่อความพึงพอใจของตนเองหรือทำตามหลักของความพอใจ (Pleasure principle) เปรียบเหมือนสันดานดิบของ มนุษย์ ซึ่งแบ่งออกเป็น สัญชาติญาณ แห่งการมีชีวิต (Life instinct) เช่น ความต้องการอาหาร ความต้องการทางเพศ ความต้องการหลีกหนีจากอันตราย กับสัญชาติญาณแห่ง ความตาย (Death instinct) เช่น ความก้าวร้าว หรือการทำอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น เป็นต้น บุคคล จะแสดงพฤติกรรมตามความพอใจ ของเขาเป็นใหญ่ ไม่คำนึงถึงค่านิยมของสังคม และ ความพอใจของ บุคคลอื่นจึงมักเป็นพฤติกรรมที่ไม่เป็นไปตามครรลองของมาตรฐานในสังคม บุคคลที่มีบุคลิกภาพเช่นนี้ มักได้รับการประนามว่ามีบุคลิกภาพไม่ดี หรือไม่เหมาะสม
- อีโก้ (Ego) หมายถึง ส่วนที่ควบคุมพฤติกรรมที่เกิดจากความต้องการของ Id โดยอาศัยกฏเกณฑ์ ทางสังคม และหลักแห่งความจริง (Reality principle) มาช่วยในการตัดสินใจ ไม่ใช่แสดงออกตามความพอใจของตนแต่เพียงอย่างเดียว แต่ต้องคิดแสดงออกอย่างมีเหตุผลด้วยนั่นคือบุคคลจะแสดงพฤติกรรม โดยมีเหตุและผล ที่เหมาะสมกับกาละเทศะใน สังคม จึงเป็นบุคลิกภาพที่ได้รับการยอมรับมากในสังคม ในคนปรกติที่สามารถปรับตัวอยู่ได้ในสังคมอย่างมีความสุข ฟรอยด์ เชื่อว่าเป็นเพราะมีโครงสร้าง ส่วนนี้แข็งแรง
- ซุปเปอร์อีโก้ (Superego) หมายถึงมโนธรรมหรือจิตส่วนที่ได้รับการพัฒนาจากประสบการณ์ การอบรมสั่งสอน โดยอาศัยหลักของศีลธรรมจรรยา ขนบธรรมเนียมประเพณี และค่านิยมต่าง ๆ ใน สังคมนั้น Superego จะเป็นตัวบังคับ และควบคุมความคิดให้แสดงออกในลักษณะที่เป็นสมาชิกที่ดีของ สังคม โดยยึดหลักค่านิยมของสังคม (Value principle)ที่ตัดสินว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ดีในสังคมกล่าวคือบุคคล จะแสดงพฤติกรรมตาม ขอบเขตที่สังคมวางไว้ แต่บางครั้งอาจไม่เหมาะ สม เช่น เมื่อถูกยุงกัดเต็มแขน - ขา ก็ไม่ยอมตบยุง เพราะกลัวบาป หรือสงสารคนขอทานให้เงินเขาไปจนหมด ในขณะที่ ตนเองหิวข้าวไม่มีเงินจะ ซื้ออาหารกินก็ยอมทนหิว เป็นต้น
ฟรอยด์ กล่าวว่าในบุคคลทั่วไปมักมีโครงสร้างทั้ง 3 ส่วนนี้แต่ส่วนที่แข็งแรงที่สุด มักเป็นอีโก้ ซึ่งทำหน้าที่คอย ประนีประนอมระหว่างอิดและซุปเปอร์อีโก้ให้แสดงออกตามความ เหมาะสมของสถานการณ์ ในขณะนั้น เช่น คอยกดอิดมิ ให้แสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมออกมา เมื่อยังไม่ถึงเวลาหรือคอยดึงซุปเปอร์ อีโก้ไว้มิให้แสดงพฤติกรรมที่ดีงามจนเกินไป จนตนเอง เดือดร้อน ถ้าคนที่มีจิตผิดปรกติ เช่นเป็นโรคจิต โรคประสาท คือคนที่อีโก้แตก (Break down) ไม่สามารถคุม อิดและซุปเปอร์อีโก้ไว้ได้ มักจะมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับกาละเทศะกับเหตุผล เช่น เกิดอาการคุ้มดีคุ้มร้าย คุ้มดีคือส่วนของซุปเปอร์ อีโก้แสดงออกมา คุ้มร้ายคือส่วนของอิดแสดงออกมา ฯลฯ
ดร. อารี รังสินันท์ (2530 : 15 - 16) กล่าวว่าโครงสร้างจิต 3 ระบบนี้มีส่วนสัมพันธ์กัน ถ้าทำงาน สัมพันธ์กันดีการแสดงออกหรือบุคลิกภาพก็เหมาะสมกับตน แต่ถ้าโครงสร้างทั้ง 3 ระบบ ทำหน้าที่ขัดแย้งกัน บุคคลก็จะมีพฤติกรรมหรือ บุคลิกภาพที่ไม่ราบรื่นปกติ หรือไม่เหมาะสม แนวความคิดกลุ่มนี้เน้น จิตไร้สำนึก (Unconscious mind) จิตไร้สำนึกนี้จะ รวบรวมความคิด ความต้องการ และประสบการณ์ที่ผู้เป็นเจ้าของ จิตไม่ต้องการจะจดจำ จึงเก็บกดความรู้สึกต่าง ๆ เหล่านี้ไว้อยู่ในจิตส่วนนี้ และหากความคิด ความต้องการหรือ เกิดพฤติกรรมบางอย่างโดยไม่รู้ตัว
อนึ่ง ประสบการณ์ในชีวิตวัยเด็ก โดยเฉพาะช่วงแรกเกิดถึง 5 ขวบที่เกี่ยวกับการอบรม เลี้ยงดู ที่ได้รับ จะฝังแน่น อยู่ในจิตไร้สำนึก และอาจจะแสดงออกเมื่อถูกกระตุ้น โดยเฉพาะในวัยผู้ใหญ่
ฟรอยด์ บอกว่า จิตไร้สำนึกเป็นสาเหตุให้มนุษย์แสดงพฤติกรรมและพฤติกรรม ที่ฝังแน่นในอดีต เป็นเหตุให้แสดง พฤติกรรมออกมาในปัจจุบันและอนาคต อนึ่ง พฤติกรรม ทั้งหลายที่แสดงออกมานั้น ท้ายที่สุดก็เพื่อตอบสนองความต้อง การทางเพศ (Sexual need) นั่นเอง
ฟรอยด์ เน้นประสบการณ์ชีวิตในวัยเด็กมาก โดยเฉพาะในช่วงชีวิตตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 5 ขวบ ประสบการณ์ต่างๆที่เด็กได้รับในช่วงนี้ โดยเฉพาะสิ่งที่ประทับใจ วิธีการอบรม เลี้ยงดู มักจะฝังแน่นอยู่ ในจิตไร้สำนึก และจะแสดงออกมาเป็น พฤติกรรมในช่วงชีวิต ที่เป็นผู้ใหญ่ต่อมาซึ่งค้านกับความเห็นของนัก จิตวิทยากลุ่มอื่นหรือนักการศึกษา ที่เชื่อว่าไม่มีผู้ใด จดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้ในช่วงชีวิตตั้งแต่ 5 ขวบลงไปจนถึงแรกเกิดได้ แต่ฟรอยด์บอกว่า สิ่งเหล่านี้มิได้หาย ไปไหนแต่กลับฝังลึกลงไป ในส่วนของจิด ที่เรียกว่า จิตไร้สำนึก (กมลรัตน์ หล้าสุวงษ์. 2528 : 36)
พัฒนาการของมนุษย์ 5 ขั้น ของฟรอยด์
ผ.ศ. ดร. อารี รังสินันท์ (2530 : 15 - 16) ได้กล่าวถึงการแบ่งขั้นพัฒนาการของมนุษย์ของฟรอยด์ว่าแบ่งเป็น 5 ขั้น คือ
1. ขั้นปาก (Oral Stage) อายุตั้งแต่แรกเกิด - 2 ขวบ
2. ขั้นทวารหนัก (Anal Stage) อายุ 2 - 3 ขวบ
3. ขั้นอวัยวะเพศ (Phallic Stage) อายุ 3 - 5 ขวบ
4. ขั้นแฝง (Latent Stage) อายุ 6 - 12 ขวบ
5. ขั้นวัยรุ่น (Genital Stage) อายุ 13 - 18 ขวบ
รองศาสตราจารย์ กมลรัตน์ หล้าสุวงษ์ (2528 : 37 - 39) ได้กล่าวถึงการแบ่งพัฒนาการของมนุษย์ของฟรอยด์ว่า ฟรอยด์ได้แบ่งพัฒนาการของมนุษย์ แตกต่างจากนักจิตวิทยาท่านอื่นกล่าวคือ ฟรอยด์ เชื่อว่า มนุษย์มีอวัยวะที่ไวต่อ ความรู้สึกในแต่ละช่วงชีวิตแตกต่างกัน ซึ่งฟรอยด์เรียกว่าอีโรจีนัสโซน (Erogenus zone) จึงได้แบ่งขั้นพัฒนาการตามอวัยวะที่ไวต่อความรู้สึกออกเป็น 5 ขั้น และได้กล่าวถึงแต่ละขั้นไว้ ดังนี้
- ขั้นปาก (Oral Stage) ขั้นนี้เด็กต้องการการตอบสนองทางปากมากที่สุดเนื่องจากปากเป็นอวัยวะที่ไวต่อความรู้สึกมากที่สุดในช่วงชีวิตนี้ ความสุขความพอใจของเด็กอยู่ที่การได้รับการตอบสนองทางปาก เช่น การดูดนม การสัมผัสสิ่งแปลกใหม่ด้วยปาก ฯลฯ ถ้าเด็กได้รับการตอบสนองเต็มที่ เมื่อโตขึ้นจะมีบุคลิกภาพที่เหมาะสมไม่พยายามใช้ปากมากเกิน ไป รู้จักพูดหรือใช้ปากได้เหมาะกับกาละเทศะ หากเด็กได้รับการขัดขวางต่อการตอบสนองทางปากในวัยนี้ เช่น การหย่านมเร็วเกินไป ถูกตีเมื่อนำของเข้าปากทำให้เด็กรู้สึกกระวนกระวายและเรียกร้องที่จะชดเชยการตอบสนองทางปากนั้น เมื่อ มีโอกาส เรียกว่าเกิดการหยุดยั้งพัฒนาการทางปาก (Oral Fixation) เมื่อมีโอกาสหรือโตเป็นผู้ใหญ่มักมีบุคลิกภาพที่ชอบใช้ ปาก เช่น ชอบนินทาว่าร้าย ชอบสูบบุหรี่ รับประทางอาหารบ่อย ๆ เกินความจำเป็น เป็นต้น
- ขั้นทวารหนัก (Anal Stage) ขั้นนี้ เด็กต้องการตอบสนองทางทวารหนักมากที่สุดมากกว่าทางปาก เช่น พัฒนาการขั้นแรกเด็กวัยนี้จึงไม่ชอบรับประทานมากเท่ากับการเล่น โดยเฉพาะการเล่นที่สัมผัสทางทวารหนัก ตลอดจนความสุขในการขับถ่ายซึ่งตรงกับการฝึกหัดขับถ่าย (Toilet Training) ของเด็กวัยนี้ถ้าผู้ใหญ่ที่เข้าใจจะรู้จักผ่อนปรน ค่อย ๆ ฝึกเด็กให้รู้จักขับถ่ายได้ด้วยวิธีที่นุ่มนวล การพัฒนาการขั้นนี้ก็ไม่มีปัญหาเด็กโตขึ้นจะมีบุคลิกภาพที่เหมาะสม แต่ถ้าเกิดการหยุดยั้งพัฒนาการขั้นนี้ (Anal Fixation) เนื่องจากผู้ใหญ่บังคับเด็กในการฝึกหัดขับถ่ายมากเกินไป เช่น ต้องขับถ่ายเป็นเวลา ถ้าไม่ทำตามจะถูกลงโทษจะทำให้เกิดความไม่พอใจฝังแน่นเข้าไปสู่จิตไร้สำนึกโดยไม่รู้ตัวและแสดงพฤติกรรมออกมาให้เห็นชัด 2 ลักษณะที่ตรงกันข้าม คือ อาจจะมีลักษณะใดลักษณะหนึ่งแล้วแต่ความเข้มทางบุคลิกภาพของเด็ก นั้นๆ คือ
ก. บุคลิกภาพแบบสมบูรณ์ (Perfectionist) คือเป็นคนเจ้าระเบียบ จู้จี้ ย้ำคิดย้ำทำ กังวลมากเกินไป โดยเฉพาะเรื่องความสะอาด ลักษณะนี้มักเกิดกับเด็กที่มีบุคลิกภาพอ่อนแอ
ข. บุคลิกภาพแบบอันธพาล (Anti social) คือเป็นคนไม่ยอมคนชอบคัดค้านค่านิยมหรือระเบียบแบบแผนที่วางไว้ ลักษณะนี้มักเกิดกับเด็กที่มีบุคลิกภาพเข้มแข็งนอกจากนี้ยังพบว่า คนที่มี Anal Fixation นี้ยังเป็นนักสะสมสิ่งของต่าง ๆ ตลอดจนมีพฤติกรรมอ่านหนังสือพิมพ์บนโถส้วมนานๆ ชอบนั่งที่ใดที่หนึ่งนาน ๆ ด้วย - ขั้นอวัยวะเพศ หรือขั้นความรู้สึกทางเพศแบบแฝง (Phallic Stage)ขั้นนี้ เด็กเริ่มเกิดความรู้สึกทางเพศแต่เป็นแบบแฝง กล่าวคือมิได้หมายความว่าเด็กวัยนี้เกิดความรู้สึกทางเพศโดยตรงได้แก่ อยากมีคู่ครองแต่หมายถึงความรู้สึก ผูกพัน ที่เกิดขึ้นต่อบิดามารดาที่มีเพศตรงข้ามกับเด็ก เช่นเด็กหญิงรักและติดพ่อ หวงแหนพ่อแทนแม่ ฟรอยด์อธิบายว่าในขณะเดียวกัน เด็กจะรู้สึกอิจฉาแม่ เพราะเรียนรู้ว่า พ่อรักแม่ เกิดปมอิจฉา (Oedipus Complex) ขึ้นเห็นแม่เป็นคู่แข่งและพยายามเลียนแบบพฤติกรรมของแม่ ซึ่งเป็นแบบฉบับของสตรีเพศ ทำให้เด็กหญิง มีลักษณะเป็นหญิงเมื่อโตขึ้น ในทำนองเดียวกัน เด็กชายก็จะรักและติดแม่หวงแหนและเป็นห่วงแม่ ฟรอยด์อธิบายว่าเด็กชายจะรู้สึกอิจฉาพ่อ เพราะเรียนรู้ว่าแม่รักพ่อ เกิดปมอิจฉา (Oedipus Complax) พ่อ เห็นพ่อเป็นคู่แข่ง พยายามเลียนแบบพฤติกรรมของพ่อ ซึ่งเป็นแบบฉบับของบุรุษเพศ ทำให้เด็กชายมีลักษณะเป็นชายอย่างสมบูรณ์เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้น Oedipus Complax จึงเป็นสิ่งที่ดีเพราะจะส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการได้เหมาะสมกับเพศของเขา ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนี้ เป็นการพัฒนาการเป็นไปตามลำดับขั้นอย่างดียิ่งแต่ถ้าเกิดการหยุดยั้งพัฒนาการของ ขั้นนี้ (Phallic Fixation) จะเกิดพฤติกรรมดังนี้ เด็กหญิงขณะที่เลียนแบบแม่ ซึ่งเป็นแบบฉบับถ้าแม่เป็นแบบฉบับไม่ดี เด็กไม่ศรัทธาในที่สุดเด็กก็จะหันไปเลียน แบบพ่อ เนื่องจากมีความนิยมศรัทธาอยู่เป็นทุนเดิมแล้วพฤติกรรมที่ปรากฏก็คือ เด็กผู้หญิงเป็นลักเพศ (Lesbian) คือมี พฤติกรรมและความรู้สึกเยี่ยงชายในทำนองเดียวกัน เด็กชายขณะที่เลียนแบบพ่อซึ่งเป็นแบบฉบับ ถ้าพ่อเป็นแบบฉบับไม่ดี เด็กไม่ศรัทธาในที่สุดเด็กก็จะหันไปเลียนแบบแม่โดยตรง เพราะรักและศรัทธาแม่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วพฤติกรรมที่ปรากฏก็คือ เด็กชายเป็นลักเพศ (Homosexual)
- ขั้นแฝง (Latent Stage) เป็นระยะก่อนที่เด็กจะเปลี่ยนแปลงเข้าสู่วัยรุ่น กิติกร มีทรัพย์ (2530 : 70 - 71) กล่าวถึงเด็กวัยรุ่นซ่อนเร้นหรือลาเทนซี่ (Latency) ว่า การเติบโตทางกาย ค่อย ๆ ช้าลง แต่การเติบโตทางจิตใจ (Memtal awarenss) ไปเร็วมาก เด็ก ๆ มักถูกมองว่า "แสนรู้" หรือ "แก่แดด" เด็กจะรู้จักพิพากษ์วิจารณ์สนใจไปในทางค้นหา ค้น คว้าต่าง ๆ สนใจสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่มิได้ขาดเด็กบางคนอาจพูดในสิ่งที่แหลมคมที่ทำให้ผู้ใหญ่คิดและน่าทึ่ง หรือพูดอะไรเชยๆ นักจิตวิทยาชาวสวีเดนผู้หนึ่ง ชื่อ เดวิด บียอร์กลุนด์ เป็นศาสตราจารย์ วิชาจิตวิทยามหาวิทยาลัยฟลอริดา ใน อเมริกากล่าวว่า เมื่อเด็กวัย Latency มีความคิดใคร่ครวญ ผู้ใหญ่ ไม่ควรละเลย ดูด้วยที่จะให้เด็กได้คิดเรื่องหนัก ๆ บ้างตามความสนใจของเขาตั้งแต่การวางแผนงานบ้าน การบ้าน หรือสร้างวินัยในบ้านให้เขาได้มีโอกาส รับรู้หรือมีส่วนร่วมกับ ปัญหารายรับ - รายจ่ายในครัวเรือน ปัญหาคณิตศาสตร์ ง่าย ๆ หรือปัญหาประสบการณ์ ชีวิตบางประการซึ่งผู้ใหญ่เคยคิดว่าเขาไม่รู้ หรือไม่ควรรู้
- ขั้นวัยรุ่น (Genital Stage) เด็กหญิงจะเริ่มสนใจเด็กชายและเด็กชายจะเริ่มสนใจเด็กหญิง เป็นระยะที่เด็ก จะมีความสัมพันธ์ระหว่างเพศอย่างแท้จริงพฤติกรรมทางเพศของบุคคลในวัยนี้ จึงมีลักษณะที่บ่งถึงวุฒิภาวะทางอารมณ์หรือความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้อย่างเต็มที่พัฒนาการทางเพศที่เกิดขึ้นในระยะนี้ เรียกว่า ขั้นวุฒิภาวะทางเพศอันมิได้หมายถึงอวัยวะเพศอย่างเดียวรวมถึงพฤติกรรมที่แสดงถึงวุฒิภาวะทางด้าน อารมณ์และสติปัญญาเด็กชายจะเปลี่ยนจากการหลงรักแม่ตนเองไปและเด็กหญิงก็จะหันจากหลงรักพ่อไปรักเพศ ชายทั่วไป
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)